ได้มีโอกาสไปนั่งฟัง คุณณัฐพงษ์
จารุวรรณพงศ์ นักวิชาการด้านธุรกิจเพื่อสังคมบรรยายในหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงได้หยิบโครงการ
One-for-One Model มานำเสนอเป็นกรณีศึกษาการทำธุรกิจเพื่อสังคมให้กับผู้เข้าอบรม น่าสนใจอย่างยิ่ง
ขณะที่นั่งฟังก็เห็นว่าเป็นโมเดลธุรกิจที่สุดยอดและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกจึงนำมาฝากผู้ที่สนใจ
หลักการพื้นฐานของโมเดลธุรกิจนี้คือ ทุกๆ การขายสินค้าของแบรนด์ 1 ชิ้น แบรนด์จะบริจาคสินค้าอีก 1 ชิ้นให้แก่สังคม สำหรับต้นแบบที่ทำให้โมเดลนี้เป็นที่รับรู้ และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายคือ TOMS แบรนด์รองเท้าจากแคลิฟอร์เนีย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
TOMS มีจุดเริ่มต้นในปี2006 หลังจากที่ Blake Mycoskie ได้เดินทางไปยังประเทศอาเจนตินาแล้วพบว่า
รองเท้า alpargata ซึ่งเป็นรองเท้าพื้นเมือง มีเอกลักษณ์ และใส่สบายๆน่าจะลองทำตลาด ประกอบกับเขาพบว่าเด็กๆหลายคนในประเทศด้อยพัฒนาหลายๆ
พื้นที่ที่เขาเดินทางไปยังขาดแคลนรองเท้าใส่ในชีวิตประจำวันจำนวนมาก
เขาปิ๊งไอเดียจะทำรองเท้าแจกทันทีและอยากชักชวน
คนอื่นๆมาร่วมด้วยกันซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นสินค้าที่โด่งดัง กระทั่งมหาวิทยาลัย
“แสตนฟอร์ด” เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของโลกนำไปทำเป็นรายงานวิเคราะห์ลงใน “แสตนฟอร์ด โซเชี่ยล รีวิว” เลยทีเดียว
Blake เริ่มต้นผลิตรองเท้า 250 คู่ ขายผ่านออนไลน์ และนำรองเท้าอีก 250คู่ ไปแจกให้แก่เด็กๆด้อยโอกาสเหล่านั้น
กลยุทธ์เหนือเมฆแบบสุดๆที่เขาทำนั้นกลายเป็นทอล์ก
ออฟเดอะทาวน์ เพียงชั่วข้ามคืนเป็นการโปรโมตสินค้าอย่างได้ผล
หลังจากเริ่มตั้งบริษัท 6 เดือน Blake ได้ขายรองเท้าได้ถึง10,000 คู่ และแจกรองเท้าให้แก่เด็กๆ ในจำนวนเท่าๆ กัน นอกจากเด็กๆ จะได้รับรองเท้าดีๆ
ไปใช้แล้ว Blake ยังเพิ่มไลน์การผลิตแว่นตา เพื่อนำแว่นตาแจกจ่ายให้เด็กที่มีปัญหาทางสายตาอีกด้วย
นอกจากนี้ยังเริ่มต้นธุรกิจใหม่คือ TOMS Coffee เพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือด้านการหาน้ำดื่มที่สะอาดในถิ่นทุรกันดารส่งผลให้
Bain Capital กองทุนร่วมทุนชื่อดังได้ซื้อหุ้นจำนวน 50% ของบริษัทด้วยเงินจำนวน 300 ล้านดอลลาร์ แถมยังเป็นต้นแบบให้การทำธุรกิจเพื่อสังคม
อีกมากมายที่ต้องการทำดี คืนกำไรให้สังคม ช่วยแก้ปัญหาของโลกบางอย่างได้
เหมาะแก่การสร้างแบรนด์
หากจะวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของ TOMS ไม่ได้มาจากแค่เรื่องโมเดลธุรกิจ แบบเน้นการแจกจ่ายทำบุญเท่านั้น
แต่ตัวสินค้าที่เจ๋ง และมีความเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ TOMS ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม สไตล์ alpargata ของTOMS มีดีไซด์ที่แตกต่างจากรองเท้าอื่นๆจนสามารถไปอยู่บนเวทีเดินแบบได้หลายๆ
เวที กับดีไซน์เนอร์ระดับโลก
โมเดลธุรกิจ “One-for-One” เป็นโมเดลที่เหมาะมากในการสร้างแบรนด์
และทำให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพันกับแบรนด์ และสิ่งที่แบรนด์ทำในยุคที่ผู้บริโภคซื้อสินค้ามิใช่เพียงเพราะฟังก์ชั่นการใช้งานเท่านั้น
แต่ยังมองไปถึงตัวแบรนด์เองว่ามีจุดยืนอะไร ซึ่งโมเดลนี้ให้ภาพที่ชัดเจนแก่ผู้บริโภคถึงจุดยืน
อีกทั้งองค์ประกอบ ที่สร้างความรู้สึกที่ดี
ที่ทำให้โมเดลนี้ได้รับการตอบสนองอย่างดีจากผู้บริโภค
แม้ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในทางธุรกิจ
แต่ TOMS ก็ถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า การบริจาครองเท้าให้แก่ชุมชนเป็นครั้งคราวได้ทำลายระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่น
ทำให้พ่อค้ารองเท้าในท้องถิ่นถูกทำลายลง มิหนำซ้ำการบริจาคเป็นครั้งคราว
ทำให้พ่อค้าท้องถิ่นวางแผนธุรกิจของตนเองได้ยาก
ในที่สุด TOMS ได้ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ โดยแทนที่จะบริจาครองเท้า เปลี่ยนเป็นการสนับสนุนโรงงานรองเท้าท้องถิ่นให้ผลิตรองเท้าของ TOMS แทน ปัจจุบันได้ขยายไลน์สินค้าไปมากมาย แต่ยังยึดโมเดลธุรกิจ One-for-One เช่นเดิมเพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับสินค้าแต่ละอย่าง
กล่าวโดยสรุปแล้ว โมเดล One-for-One เป็นจุดเริ่มต้นของการส่งมอบความดีให้ได้ผลอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามหากใครคิดจะทำคงไม่สามารถทำแบบทื่อๆ ได้
แต่ละแบรนด์ต้องหาสูตรสำเร็จเฉพาะของตนเอง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าของแบรนด์ ปัญหาสังคมที่แบรนด์ต้องการจะแก้
และการเข้าใจรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง และต้องเข้าใจบริบทของปัญหานั้นๆ ต่อชุมชน
แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
หากต้องการเป็นแบรนด์คนดีจะต้องมีความจริงใจ และตั้งใจที่จะแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
รู้ลึกถึงต้นเหตุของปัญหา และมุ่งเน้นไปแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แก้แบบผิวเผิน หากแถมพ่วงด้วยวิธีการให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกที่ดีต่อสินค้าที่จับต้องได้ตามโมเดล
One-for-One แล้ว แบรนด์ของคุณจะขยับจากแบรนด์คนดี เป็นแบรนด์ที่ยั่งยืน
และมีคุณค่าอย่างแท้จริง
ขอย้ำว่า หากเราจะนำไอเดียแบบนี้ไปใช้กับธุรกิจของเรา
ก็ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมให้ดีเช่นกัน เพราะมีสินค้าหลายๆประเภทที่ล้มเหลวจากการใช้โมเดลแบบนี้เช่นกัน
ธุรกิจเตรียมตัว “เด็กรุ่นใหม่ไม่เล่น Facebook”