ปัจจุบันอุตสาหกรรมชาไทยกำลังเผชิญกับโอกาสและความท้าทาย
เนื่องจากชาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโลก แต่สำหรับประเทศไทยมีอัตราการบริโภคชาไม่สูงมากนัก
เฉลี่ย 0.93 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่ชาวอังกฤษบริโภคเฉลี่ย 2.74 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ชาวฮ่องกงบริโภคเฉลี่ย 1.42
กิโลกรัมต่อคนต่อปี
ประเทศไทยจึงควรส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาดื่มชาเพิ่มขึ้น โดยใช้จุดขายเรื่องสินค้าอินทรีย์และสรรพคุณเพื่อสุขภาพ ควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามรสนิยมผู้บริโภคในลักษณะ DIY รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขาย เพื่อให้ตลาดชาในไทยมีโอกาสการเติบโตมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้ ไทยสามารถปลูกชาในระดับอุตสาหกรรมได้
เนื่องจากไร่ชาภาคเหนือมีจำนวนมาก ที่ผ่านมาเป็นการผลิตเพื่อส่งขายจีนเป็นวัตถุดิบ
รวมถึงชาสำเร็จรูปส่งออกไปยังไต้หวัน
และชาราคาเกรดทั่วไปส่งขายให้กับร้านชาในประเทศ ดังนั้นอุตสาหกรรมชาไทยจึงเป็นลักษณะรับจ้างผลิต
หรือ OEM เป็นส่วนใหญ่
แต่ปัจจุบันเริ่มมีการสร้างแบรนด์สินค้าชาของคนไทยขึ้นมาและมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้น
นอกจากนี้สินค้าชาไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี
(เอฟทีเอ) ที่ไทยทำกับประเทศคู่ค้าได้ สำหรับสินค้าชาเขียว ไทยสามารถส่งออกโดยไม่เสียภาษีนำเข้าในอาเซียน
8 ประเทศ (ยกเว้นเมียนมา) จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
และชิลี สำหรับสินค้าชาดำ สามารถส่งออกโดยไม่เสียภาษีนำเข้าในอาเซียน 9 ประเทศ จีน เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี และสำหรับผลิตภัณฑ์ชา
สามารถส่งออกโดยไม่เสียภาษีนำเข้าในอาเซียน 9 ประเทศ จีน
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2562) ไทยส่งออกชาเขียว
เฉลี่ย 979.6 ตันต่อปี มูลค่าเฉลี่ย 6.34 ล้านเหรียญสหรัฐ ชาดำ เฉลี่ย 1,401.7 ตันต่อปี
มูลค่าเฉลี่ย 6.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และชาสำเร็จรูป เฉลี่ย 9.1 ตันต่อปี มูลค่าเฉลี่ย 22.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยตลาดส่งออกสำคัญ คือ กัมพูชา (31%) เมียนมา (20%) และสหรัฐฯ (18%)
สำหรับในปี 2562 ไทยส่งออกชาเขียว 1,057.7 ตัน
มูลค่า 9.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหลักคือ อินโดนีเซีย (38%)
เนเธอร์แลนด์ (12%) และมาเลเซีย (9%) ส่งออกชาดำ 2,256 ตัน คิดเป็นมูลค่า 9.6 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีตลาดหลักคือ อินโดนีเซีย (40%) สหรัฐอเมริกา (18%) และกัมพูชา (14%) และส่งออกชาสำเร็จรูป 7,032.3 ตัน มูลค่า 24.5
ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีตลาดหลักคือ กัมพูชา (31%) เมียนมา (20%) และสหรัฐอเมริกา (18%)
ขณะเดียวกันในช่วง 7 เดือนแรกปี 2563 (ม.ค.–ก.ค.)
ไทยส่งออกชาเขียว 492.9 ตัน มูลค่า 4.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 17.92%)
ส่งออกชาดำ 601.8 ตัน มูลค่า 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 45.54%)
และส่งออกชาสำเร็จรูป 4,971.1 ตัน มูลค่า 19.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
(มูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 47.77%)
จะเห็นได้ว่าแนวโน้มการส่งออกชาไทยยังเติบโตต่อเนื่องแม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน จีน และยุโรป โดยต้องมุ่งขายสินค้าตอบโจทย์ความต้องการตลาดเฉพาะ หรือ ‘นิชมาร์เก็ต’ เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลาย และใช้เอฟทีเอเป็นสะพานให้เติบโตแบบก้าวกระโดด จะช่วยทำให้อุตสาหกรรมชาไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต