จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19
ที่เริ่มแพร่กระจายเข้าไปยังบราซิลตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ส่งผลให้รัฐบาลบราซิลเริ่มใช้มาตรการปิดภาคธุรกิจ
และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมมาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563
แต่ก็ยังไม่สามารควบคุมสถานการณ์การได้
บราซิลยังได้กลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ป่วยเป็นอันดับ 2 ของโลก
แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็จำเป็นต้องผ่อนคลายมาตรการปิดภาคธุรกิจ และเริ่มให้ธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อการครองชีพสามารถกลับมาเปิดดำเนินการในช่วงพฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยยังคงกำหนดให้มีการใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมไว้ บังคับประชาชนสวมหน้ากากอนามัย แต่ก็ดูเหมือนว่าภาคธุรกิจจะยังต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะกลับเข้าที่ และยังมีธุรกิจจำนวนมากยังต้องคงมาตรการทำงานจากบ้าน (Work from Home) ไว้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เอฟเฟคจากโควิด 19
กระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจบราซิลในไตรมาส 1 ลดลง 1.5%
ซึ่งนับเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2559 และคาดการณ์ว่าทั้งปี 2563 จะติดลบ
5.6% มีคนว่างงานถึง 12.79 ล้านคน กระทบต่อกำลังซื้อในประเทศอย่างมาก
ส่วนการค้าระหว่างไทย-บราซิลนั้น
ด้วยความที่บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ที่มีภูมิอากาศที่เหมาะกับการผลิตสินค้าเกษตร
จึงมีการผลิตสินค้าเกษตรชนิดต่างๆ ใกล้เคียงกับไทย เช่น อ้อย ถั่วเหลือง ข้าวโพด
ยางพารา กาแฟ หรือแม้แต่ไก่ ดังนั้นบราซิลจึงถือเป็นคู่แข่งไทยสำคัญของไทยในหลายสินค้า
โดยเฉพาะคู่แข่งส่งออกไก่ และน้ำตาลทราย
ที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้าให้บราซิลจากการการนำเข้าสินค้าบราซิล
โดยเฉพาะถั่วเหลืองที่ไทยผลิตไม่เพียงพอ จำเป็นต้องนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์จำนวนมหาศาล
ส่วนบราซิลมีการนำเข้าสินค้ากึ่งวัตถุดิบที่ยังไม่สามารถผลิตได้
และกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีสัดส่วนมากไม่นัก
แต่ด้วยภาคการส่งออกลดลง
การผลิตที่ลดลงในช่วงเดือนมิถุนายนถึง 9% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างรถยนต์
เครื่องดื่ม แร่ ยาง พลาสติก เครื่องไฟฟ้าและอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์เคมี
ซึ่งอาจจะมีผลต่อการนำเข้าสินค้ากึ่งวัตถุดิบจากไทยด้วย
เห็นได้จากยอดนำเข้าสินค้าในเดือนกรกฎาคม 2563 มีมูลค่า 11,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงถึง
35.2% ซึ่งเป็นการนำเข้าจากเอเชียลดลง 16.8% สหภาพยุโรปลดลง 33.6% และสหรัฐอเมริกาลดลง 46.5%
ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ
นครเซาเปาโลก คาดว่า เศรษฐกิจของบราซิลจะยังคงชะงักงานอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน
ทั้งดีมานด์และซัพพลายในตลาดลดลงอย่างมาก
ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน
ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับแผนการผลิต
การตลาดให้สอดรับกับสถานการณ์
โดยประเมินเบื้องต้นว่าสินค้าที่ยังมีโอกาสส่งออกไปยังบราซิล
เช่น กลุ่มเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหาร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เป็นต้น
ส่วนสินค้าที่มีความต้องการลดลง ได้แก่ รถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ เสื้อผ้า สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟื่อยที่ไม่ใช่สินค้าจำเป็น ต้องปรับแผนส่งออกให้สอดคล้องกับความต้องการ
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<