กรณีศึกษา PT-Shell ดันธุรกิจ Non-oil ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ภาพรวมตลาดค้าปลีกน้ำมันในประเทศในปี 2563 มีแนวโน้มลดลงไม่ต่ำกว่า 5% ปัจจัยหลักมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง ขณะที่ราคาขายปลีกดิ่งลงเป็นประวัติการณ์และค่าการตลาดที่ต่ำกว่าปกติ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมเข้ามาจากเดิมที่ตลาดค้าปลีกน้ำมันมีแรงกดดันจากอัตรากำไรที่ต่ำอยู่แล้วเฉลี่ย 4% รวมถึงการแข่งขันที่ร้อนแรง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหลักอย่างค้าปลีกน้ำมัน (Oil) หรือธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) ซึ่งพีทีและเชลล์ ต่างมีการปรับยุทธศาสตร์อย่างสนใจในการที่จะรักษาฐานที่มั่นในธุรกิจหลักพร้อมๆกับเร่งกระจายเสี่ยงในธุรกิจทำกำไรสูง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
PT ชูปั๊มใหม่ไซส์ SS-Max Service หวังสร้าง Engagement คนกรุง
ขณะนี้ต้องถือว่าพีทีเป็นแบรนด์ในธุรกิจสถานีบริการน้ำมันที่เดินเกมรุกเต็มพิกัด
โดยเฉพาะธุรกิจน้ำมันด้วยจำนวนสถานีบริการที่มีมากที่สุด คือ 2,055 สาขากระจายทั่วประเทศ ในสัดส่วนภาคอีสาน
32% ภาคเหนือ 21% ภาคใต้ 7-8% กรุงเทพฯ 7% ในปีที่ผ่านมาพีทีเป็นสถานีบริการน้ำมันที่มียอดขายอันดับ
2 ของประเทศ
สำหรับกลยุทธ์บุกเข้ากรุงของพีทีใช้โมเดลใหม่ในแบบไซส์
SS ขนาดเล็ก ขยายตัวเร็ว เน้นเข้าถึงทำเลย่านชุมชน
กระจายตัวเช่นเดียวกันร้านสะดวกซื้อ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มที่ต้องการเติมน้ำมันก่อนถึงบ้านหรือเติมตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน
เน้นจำหน่ายน้ำมันเป็นหลักด้วยหัวจ่ายอย่างต่ำ 4 หัว ขณะที่ส่วนธุรกิจในเครืออย่างร้านกาแฟพันธุ์ไทย
จะย่อส่วนจากร้านที่มีที่นั่งเป็นฟู้ดทรักเพื่อตอบสนองต่อการเดินทาง
นอกจากนี้ได้พัฒนาบริการในชื่อ
“Max Service” เข้ามาสะท้อนภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจผู้บริโภค
ด้วยบริการเติมน้ำมันฉุกเฉินแบบเดลิเวอรี่ รองรับปัญหาน้ำมันหมดกะทันหัน สามารถใช้บริการผ่านหมายเลขโทรศัพท์
1614 พนักงานจะขับมอเตอร์ไซค์นำน้ำมันไปเติมให้ถึงที่ ซึ่งจะให้บริการในรัศมี
10 กม.จากสถานีบริการน้ำมันพีที
นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆ
เช่น ยก-ลากรถฉุกเฉิน, ช่วยเหลือฉุกเฉินด้านแบตเตอรี่, ซ่อมรถ (กรณีที่สามารถซ่อมได้ทันที),
ช่วยเหลือเกี่ยวกับกุญแจหรือยางรถยนต์ เป็นต้น โดยจะคิดค่าบริการตามจริง
โดยแม็กเซอร์วิสจะให้บริการเฉพาะสมาชิกแม็กการ์ด
เนื่องจากมุ่งที่จะสร้างความผูกพัน (Engagement) ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคให้มากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ต้องการให้บริการนี้เป็นแรงดึงดูดสมาชิกแม็กการ์ดใหม่ๆ จากที่จะเห็นได้ว่าค่าบริการต่างๆ
ไม่สูง และเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับพนักงานเมื่อมีการเรียกใช้บริการเท่านั้น
ในส่วนของบัตรพีที
แม็กการ์ด มีแผนที่จะพัฒนาให้เป็นมากกว่าบัตรสมาชิกเพื่อสะสมแต้ม จึงทำการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ
เข้าไปจำนวนมาก โดยเฉพาะการร่วมมือกับธุรกิจอื่นเพื่อนำคะแนนไปแลกเปลี่ยนเป็นการ Eco System ของบัตรให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างหลากหลาย
ขณะนี้มีผู้ถือบัตรประมาณ 14 ล้านราย
เมื่อน้ำมันไม่ตอบโจทย์การทำกำไร
เป้าหมายใหญ่ของพีทีในอีก
3-4 ปีข้างหน้า อยู่ที่การผลักดันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน
(Non-oil) เพิ่มจาก 10% เป็น 60%
นั่นหมายถึงสัดส่วนรายได้จากธุรกิจน้ำมันจะลดลงเหลือ 40% จากขณะนี้อยู่ที่
90% ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ทำให้การผลักดันธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันถูกวางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบใน
5 กลุ่ม คือ ก๊าซ LPG, ร้านกาแฟ, ให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์,
ปาล์มคอมเพล็กซ์ และค้าปลีก โดยทั้งหมดมีแผนนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เริ่มจากปาล์มคอมเพล็กซ์ในปี 2565
จากนั้นจะเป็นคิวของธุรกิจร้านกาแฟปี 2567
สำหรับร้านกาแฟซึ่งสามารถทำกำไรขั้นต้นสูงถึง
60-70% จึงจะมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพให้กับผลกำไรโดยรวมของธุรกิจ ซึ่งพีทีมีร้านกาแฟในมือ
2 แบรนด์ คือพันธุ์ไทยและคอฟฟี่เวิล์ดภายใต้การบริหารของบริษัท
จี เอฟ เอ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) เป็นบริษัทย่อยของบริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด จับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมด้วยราคากาแฟต่อแก้วกว่า
100 บาท เน้นสนองไลฟ์สไตล์กลุ่มคนเมือง โดยวางตำแหน่งให้แข่งขันในตลาดร้านกาแฟนอกสถานีบริการน้ำมัน
ส่วนค้าปลีกร้านสะดวกซื้อพีทีเลือกที่จะสร้างแบรนด์ขึ้นเองในชื่อ
“แมกซ์มาร์ท” ซึ่งวิธีนี้ส่วนใหญ่ในตลาดสถานีบริการน้ำมันจะไม่สบความสำเร็จ กรณีที่ชัดเจนคือ
ปตท. ที่แม้ว่าจะได้ครอบครองแบรดน์จิฟฟี่ แต่สุดท้ายต้องเลือกแบรนด์เซเว่นอีเลฟเว่นเข้ามาให้บริการส่วนจิฟฟี่เหลือสาขาไม่มากนัก
หรือการกรณีบางจากที่ซื้อสิทธิมาสเตอร์ไลเซนส์แบรนด์ สพาร์ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ล่าสุดได้ยุติบทบาทลงและเปิดให้แฟมิลี่มาร์ทและท็อปส์เดลี่เข้ามาทดแทน
อย่างไรก็ตามแมกซ์มาร์ทพยายามสร้างความแตกต่าง
โดยการจำหน่ายสินค้าจากแบรนด์เอสเอ็มอีที่เป็นรู้จัก เช่น ชายสี่บะหมี่เกี๊ยวในรูปแบบของบะหมี่แช่แข็ง
2 สูตร คือบะหมี่ผัดกะเพาไก่และบะหมี่ผัดขี้เมาไก่
รวมถึงการพัฒนาเฮาส์แบรนด์ขึ้นมา เพื่อเป็นทางเลือกในการซื้อสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น
Shell ตั้งเป้าปักหมุด 660 สถานีทั่วไทย
ในสถานการณ์ที่ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสถานีบริการต่างมีเป้าหมายเร่งขยายเครือข่าย
เพื่อเพิ่มปริมาณการขายและรักษาฐานรายได้ รวมถึงเชลล์
ซึ่งขณะนี้ประกาศความพร้อมในการขยายสถานีบริการให้ได้ปีละ 30 แห่ง โดยจะเน้นเจาะพื้นที่ใจกลางเมืองมากขึ้น
จากที่มีอยู่ 639 แห่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2563 คาดว่าจะมีจำนวนทั้งหมด 660 สถานีบริการ
ครอบคลุมพื้นที่ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน
ขณะเดียวกันเชลล์เลือกใช้กลยุทธ์เซกเม้นต์เข้ามาสร้างความแตกต่างในตลาด
โดยแบ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันระดับทั่วไปกับระดับพรีเมี่ยมในชื่อ “สถานีบริการ
เชลล์ วีเพาเวอร์” ด้วยการเน้นด้านบริการให้มากขึ้น ด้วยความรวดเร็ว สะดวก
สร้างรอยยิ้ม โดยรถ 1
คันจะให้บริการโดยพนักงาน 2 คนและรับชำระค่าบริการแบบไร้สัมผัส นอกจากนี้ผู้ใช้บริการสามารถสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มของร้านกาแฟเดลี่
คาเฟ่ จากที่รถผ่านแท็บเล็ตได้ในสถานีบริการ เชลล์ วีเพาเวอร์ 2
สาขาเมื่อช่วงต้นปี 2562 ปัจจุบันมีสถานีบริการเชลล์ วีเพาเวอร์จำนวน 4 สถานี
ดันธุรกิจ
Non-oil ให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
สำหรับเชลล์วางเป้าหมายที่จะขยายฐานรายได้ธุรกิจ
Non-oil เป็น 50%
จากรายได้ทั้งหมดภายในปี 2568 ล่าสุดได้นำสัญลักษณ์ “เชลล์ชวนชิม”
ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับมอบให้ร้านอาหารรสชาติดีกลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง
จากปัจจุบันมีร้านอาหารที่ได้รางวัลมากถึง 120
ร้านและจะดึงร้านเหล่านี้เข้ามาเปิดบริการในสถานีบริการของเชลล์ โดยเริ่มจาก 2
สถานีสาขาท่าพระและชัยพฤกษ์ และจากนี้ร่วมกับ ม.ล. ภาสันต์ สวัสดิวัตน์ ขยายการมอบตรา
“เชลล์ชวนชิม” ให้กับร้านอาหารใหม่ๆ เพื่อดึงทราฟฟิกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนและผู้ที่มีที่พักอาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาใช้บริการ
นอกจากจะเปิดแนวรุกในธุรกิจอาหารแล้ว
เชลล์ได้พัฒนาแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อวางฐานธุรกิจ Non-oil
โดยธุรกิจร้านกาแฟเป็น “เดลี่ คาเฟ่” ขณะนี้147 แห่ง
และร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ซีเล็ค โดยมีจำนวน 124 แห่ง ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์จะขนานไปกับการเปิดสถานีบริการน้ำมันใหม่ของเชลล์
ขณะที่บางทำเลเชลล์ได้ร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้มีความแตกต่าง เช่น
ล่าสุดร่วมกับสตาร์บัคส์ เปิดให้สาขาไดร์ฟธูรในสถานีบริการน้ำมันเป็นแห่งแรกบนถนนกาญจนาภิเษก
ที่น่าสนใจคือเชลล์ได้เพิ่มโอกาสในการนำแบรนด์ในกลุ่ม Non-oil ให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้บริการได้มากขึ้น ด้วยการเปิดบริการส่งถึงที่ (Delivery) โดยร้านกาแฟเดลี่ คาเฟ่และร้านสะดวกซื้อเชลล์ ซีเล็ค สามารถสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชั่นและจัดส่งผ่านแกร็บฟู้ดได้ ขณะที่การใช้บริการสถานีเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสามารถสั่งซื้อแพ็กเกจได้ผ่านช้อปปี้ได้
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
วิถีใหม่สินค้า Luxury หลังโควิด สู่ร้านช้อปปี้งออนไลน์
เทคนิคการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้โดนใจผู้บริโภคยุคปัจจุบัน