"เมียนมา"
ถือเป็นประเทศแรกที่ "สี จิ้น ผิง" ประธานธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เริ่มสตาร์ทเดินทางเยือนในปี
2020 นี้ โดยกำหนดการเยือนนับจากวันที่ 17-18 มกราคม ที่ผ่านมา ได้พบกับนางออง
ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและประธานาธิบดี วิน มิ้นท์ ณ กรุงเนปิดอว์
เมืองหลวงของประเทศเมียนมา
ก่อนหน้านี้ "เจียง เจ๋อ หมิน"
เป็นประธานธิบดีคนล่าสุดของจีนที่เยือนเมียนมา เมื่อ 19 ปีที่แล้วในปี 2001
และมีการลงนามข้อตกลงทางด้านเศรษฐกิจและการค้าชายแดนหลายฉบับในครั้งนั้น
อาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบัน "จีน" เป็นมหามิตร ซึ่งเป็นทั้งประเทศผู้ลงทุนและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในเมียนมา หากเมียนมาถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตรจากข้อกล่าวหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในรัฐยะไข่ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเมียนมาจึงนับได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจเมียนมา (ข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ประจำกรุงย่างกุ้ง)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สำหรับผลการเยือนครั้งนี้เมียนมาและจีนได้มีการลงนามข้อตกลงร่วมกัน
33 ฉบับ เป็นความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน
และการค้า
โดยทั้งสองประเทศได้ลงนามความตกลงในการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกในเขตเศรษฐกิจพิเศษจ้าวผิ่ว
(Kyaukphyu Special Economic Zone) ในรัฐยะไข่
หากพัฒนาท่าเรือแห่งนี้ได้สำเร็จ
จ้าวผิ่วจะกลายเป็น "Oil and Gas
Terminal" เชื่อมโยงท่อ (Pipeline) ในการส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียไปยังจีนโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา
โครงการนี้ถือเป็นโครงการสำคัญภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา หรือ China-Myanmar
Economic Corridor (CMEC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Belt
and Road Initiative ของจีน
ดังนั้นจีนในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของเมี่ยนมา
คิดเป็น 40% ของหนี้ที่เมียนมากู้ยืมจากต่างประเทศจึงได้เร่งเครื่องเต็มที่
นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงในการพัฒนาอื่นๆ
เพื่อยกระดับความร่วมมือในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจชายแดนมูเซ-รุ่ยลี่
บริเวณชายแดนจีน-เมียนมาในรัฐฉาน รวมท้ังยังมีการตกลงเพิ่มทุน 2,600
ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการพลังงานไฟฟ้า LNG ขนาด
1,390 เมกะวัตต์ ที่เมือง Mee Laung Gyaing
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าการเดินทางเพื่อกระชับความสัมพันธ์ครั้งนี้
จีนยัง "ไม่" หารือถึงความคืบหน้าโครงการเขื่อนมิตโซน (Myitsone
dam) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำอีก 6 โครงการในรัฐคะฉิ่นซึ่งมี
มูลค่ารวมกว่า 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขนาดกำลังการผลิต 21,000 เมกะวัตต์
ที่มีแผนที่จะส่ง ไฟฟ้าส่วนหนึ่งไปยังประเทศจีน
แต่โครงการดังกล่าวได้ถูกระงับไว้นานเกือบ
10 ปี นับจากปี 2011 และ 2012
เนื่องจากสาธารณชนคัดค้านอย่างรุนแรงและยังไม่ได้ข้อสรุปแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่สงบที่กระทบต่อการค้าบริเวณชายแดนมูเซ
– ลุ่ยลี่ ระหว่างจีนและเมียนมา
นักเศรษฐศาสตร์เมียนมา ให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า หากปัญหาความมั่นคงภายในเมียนมายังคงอยู่ จีนอาจยังไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนต่างๆ รวมทั้งอาจจะต้องขาดทุนจานวนมหาศาล
และล่าสุด "จีน"
ได้ปิดด่านการค้าชายแดนกับเมียนมา จากผลพวงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ประเด็นนี้ส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ค้าขายระหว่างกันมหาศาล
ทั้งผัก ผลไม้ ข้าว และปศุสัตว์
และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
เมียนมาอาจพิจารณาห้ามการเดินทางประชาชนชาวจีนเข้าประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนเมียนมา-จีน
มหาศาล
ทั้งนี้ผู้ประกอบการไทยต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่ออาศัยจังหวะนี้ในการสร้างโอกาสในด้านการค้าและการลงทุนคู่ขนานไปกับทั้งจีนและเมียนมา ซึ่งหากไทยสามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง Belt and Road Initiative ของจีนได้สำเร็จจะส่งผลดีต่อการค้าของไทยในระยะยาวมหาศาล