3 เทคโนโลยีไร้สัมผัสปลอดโรคโควิด วิถีใหม่สไตล์ Next Normal

SME in Focus
20/01/2021
รับชมแล้วทั้งหมด 2512 คน
3 เทคโนโลยีไร้สัมผัสปลอดโรคโควิด วิถีใหม่สไตล์ Next Normal
banner

การหวนกลับมาแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รอบใหม่ช่วงปลายปี 2563 ปฏิเสธไม่ได้ว่ารุนแรงมากกว่าระลอกแรก ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนในทุกๆ ด้าน และยังทำให้เกิดภาวะปกติแบบใหม่ หรือเรียกว่า ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพราะผู้คนต้องใช้วิถีชีวิตใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากรูปแบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ หรือแม้กระทั้งต้องอยู่ระยะห่าง เช่นเดียวกับวิถีชีวิตการกิน การอยู่ การใช้ชีวิต ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมากพอสมควร เพื่อความปลอดภัยจากโรคร้าย

จากชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) สู่ความปกติถัดไป (Next Normal) กลายเป็นเป็นคำถามว่าปี 2564 จะมีเทคโนโลยีล้ำสมัยมากที่สุดอะไรบ้าง ที่จะเข้ามามีบาทบาทและอิทธิพลต่อมนุษย์โลกให้อยู่ห่างไกลปลอดภัยจากโรคโควิด นั้นก็คือ “เทคโนโลยีไร้สัมผัส” คือเทรนด์ที่จะเข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเกือบทุกชนิดในปีนี้

สอดคล้องกับข้อมูลของนิตยสาร Strategy+business โดย PwC ที่ได้แนะนำ “3 เทคโนโลยีไร้สัมผัส” จะมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตประชากรโลกหลังการระบาดของโรคโควิด โดยเทคโนโลยีอย่างแรกคือ เทคโนโลยีรู้จำเสียงพูด (Speech recognition) อย่างที่สอง เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial recognition) และอย่างที่สาม สกุลเงินดิจิทัล (Digital money) ซึ่งทั้ง 3 เทคโนโลยีดังกล่าวแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อมาจัดการกับการแพร่ระบาดของโรคโควิดโดยตรง แต่ก็เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญที่จะเข้ามาช่วยให้มนุษย์สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสพื้นผิว หรือสิ่งของร่วมกับคนอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิดได้ดังนี้

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

1. เทคโนโลยีรู้จำเสียงพูด เมื่อผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับอุปกรณ์ที่ใช้การสั่งงานด้วยเสียงมาพอสมควรแล้วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่น โปรแกรม Siri บนไอโฟน หรือ Alexa ซึ่งเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้าน แต่ที่จริงแล้วเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2505 เพียงแต่มีการพัฒนาไปอย่างช้าๆ จนปี 2553 ที่มีเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งด้านซอฟต์แวร์ การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก และคลาวด์ ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถตีความคำสั่งเสียงได้ โดยเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากศูนย์กลาง เทคโนโลยีรู้จำเสียงพูดในปัจจุบันจึงสามารถเข้าใจคำสั่งได้ซับซ้อนมากขึ้น และเริ่มมีอุปกรณ์ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลิฟต์อัจฉริยะ ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงแทนการกดปุ่ม หรือเครื่องขายของอัตโนมัติที่ซื้อสินค้าด้วยเสียง

2. เทคโนโลยีจดจำใบหน้า มีความพยายามพัฒนาขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2503 แต่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมการอ่านข้อมูลในตอนนั้นยังไม่ฉลาดพอที่จะพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้สำเร็จได้ กระทั่งปี 2560 ค่าย Apple ได้ออกสมาร์ทโฟนที่มีระบบตรวจสอบใบหน้าเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์แทนการใส่รหัส ทำให้ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามากขึ้น หลังการระบาดของโควิด 19 บริษัทในจีนมีการพัฒนาระบบการจดจำใบหน้าให้สามารถใช้งานคู่กับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย เพื่อระบุตัวตนและตรวจวัดไข้ได้ในระยะ 15 ฟุต

ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีความน่าเชื่อถือสูง สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆ ได้หลากหลาย อีกทั้งมีสนามบินหลายแห่งให้บริการรองรับ เช่น ประเทศสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้ในการตรวจคนเข้าเมือง แทนการสแกนลายนิ้วมือ ตลอดทั้งในอนาคตอันใกล้ อาจจะเป็นปี 2564 นี้แหละ จะมีตู้เอทีเอ็มที่ใช้การตรวจสอบใบหน้าแทนการกดรหัสประตูบ้าน หรือรถยนต์ที่มีระบบความปลอดภัยสูงสุด ด้วยการตรวจสอบใบหน้าแทนการใช้กุญแจ และเปิดอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องสัมผัส

3. เงินดิจิทัล ในทุกวันนี้การไปธนาคารกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปเสียแล้วสำหรับผู้คนในยุคนี้ ไม่ใช่แค่ Mobile Banking หรือระบบสแกนเพื่อจ่ายเงินเท่านั้นที่ทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น แต่การเกิดขึ้นของเงินดิจิทัลซึ่งมีมาตั้งแต่ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ได้ค่อยๆ ทำให้ชีวิตผู้คนต้องเรียนรู้และเข้าใจระบบต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล การรูดบัตรเครดิตหรือเดบิตผ่านระบบออนไลน์ และการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับระบบจ่ายเงิน เช่น Apple pay, Google pay, Ali pay เป็นต้น

ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีการช้อปปิ้ง ซื้ออาหาร และสินค้าต่างๆ ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการใช้จ่ายออนไลน์มากขึ้น เพราะมีงานวิจัยระบุว่า ธนบัตร 1 ใบ มีแบคทีเรียสะสมมากกว่า 26,000 ตัวเลยทีเดียว เรียกว่า เป็นแหล่งกำเนิดโรคได้อย่างน่าสะพึงกลัว

ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้มีผู้ใช้งานระบบกระเป๋าเงินดิจิทัลทั่วโลกกว่า 1,300 ล้านคน หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผู้คนจึงมีทางเลือกในการใช้จ่ายโดยไม่ต้องสัมผัสอะไร นอกเหนือจากโทรศัพท์ของตนเอง ไม่ต้องจับเงินที่คนอื่นเคยสัมผัสมาก่อน หรือยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานเมื่อซื้อสินค้า บรรดาร้านค้าเองก็มีทางเลือกเพื่อช่วยรักษาสุขอนามัยของทั้งพนักงานและลูกค้าเช่นกัน

 

การแพร่ระบาดของโรคโควิดยังไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ทำให้ทุกคนต้องเตรียมตัว ปรับตัว รับมือ เพื่อเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งและฉลาดหลักแหลมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการมีสุขอนามัยแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ก้าวสู่ความปกติถัดไป (Next Normal) ในปี 2564 และปีถัดๆ ไป 



สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

"แนวคิดดี ทำเลเด่น" สูตรสำเร็จการบริหาร "มูส โฮเทล"

"แนวคิดดี ทำเลเด่น" สูตรสำเร็จการบริหาร "มูส โฮเทล"

การทำธุรกิจไม่เคยมีสูตรตายตัว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็วและแข่งขันสูงอย่างธุรกิจบริการ ความคาดหวังของลูกค้ากลายเป็นมาตรวัดหลักของความอยู่รอด…
pin
5 | 25/07/2025
ยั่งยืนกว่า 47 ปี ด้วยโมเดล Back to Basics 'ผลธัญญะ' กับความไว้ใจที่มีมายาวนาน

ยั่งยืนกว่า 47 ปี ด้วยโมเดล Back to Basics 'ผลธัญญะ' กับความไว้ใจที่มีมายาวนาน

การรักษาเสถียรภาพขององค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน นับเป็นโจทย์ท้าทายที่ไม่ใช่ทุกองค์กรจะทำสำเร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจเทรดดิ้ง (Trading)…
pin
13 | 07/07/2025
“ดี.เอ.ที.ที.” ธุรกิจเกษตรยุคใหม่ที่เริ่มจากเล็งเห็นปัญหา  สู่การสร้างแบรนด์ “Take Me Home Tomato” มะเขือเทศสดคุณภาพพรีเมียมของไทย

“ดี.เอ.ที.ที.” ธุรกิจเกษตรยุคใหม่ที่เริ่มจากเล็งเห็นปัญหา สู่การสร้างแบรนด์ “Take Me Home Tomato” มะเขือเทศสดคุณภาพพรีเมียมของไทย

เมื่อพูดถึงธุรกิจการเกษตรในไทย ย่อมเป็นที่รู้กันในหมู่เกษตรกรว่า หากจะอยู่รอด อย่าเริ่มต้นจากการปลูกพืชเศรษฐกิจตามกระแส ที่อาจหมดความต้องการไปตามเวลา…
pin
19 | 27/06/2025
3 เทคโนโลยีไร้สัมผัสปลอดโรคโควิด วิถีใหม่สไตล์ Next Normal