คำถามคลาสสิก
สำหรับธุรกิจ ทำอย่างไรจึงสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่กิจการ? ถ้ามูลค่าเพิ่มที่ว่าคือรายได้หรือกำไรที่เพิ่มขึ้น ประเด็นสำคัญอาจต้องย้อนไปที่ต้นทุนภาคการผลิต
และสิ่งที่ต้องรู้เรียกว่า cost per unit คือ ต้นทุนต่อหน่วยสินค้า แน่นอนว่าต้นทุนสูง
คือค่าใช้จ่ายต่อยูนิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในฐานะผู้ประกอบการ การลดต้นทุนหมายถึงเพิ่มกำไร
ด้วยเหตุนี้ แนวคิดเรื่อง ห่วงโซ่คุณค่า หรือ Value Chain เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกิจการได้ โดยนำมาปรับใช้ในการสร้างคุณค่าของสินค้า ซึ่งผู้ประกอบการสามารถสร้างได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อช่วยลดต้นทุน และสามารถทำให้มีกำไรมากขึ้น เรียกสิ่งนี้ว่าการวิเคราะห์ต้นทุน ปริมาณ และกําไร (Cost-Volume-Profit Analysis)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างของต้นทุน
ปริมาณขาย และกําไร เพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนและการตัดสินใจในการดําเนินงานของธุรกิจการตัดสินใจใดๆ
ที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนคงที่ในการดําเนินงานจํานวนมาก
ค่าใช้จ่ายคงที่เหล่านี้เป็นภาระผูกพันที่เกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะมีรายได้จากการขายหรือไม่ก็ตาม
ถ้าใครเคยเรียนด้านนี้มาอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า
‘จุดคุ้มทุน’ (Break-even Analysis) ที่จะบอกถึงปริมาณขายที่จะทําให้ธุรกิจอยู่รอด
หากคำนวณจุดคุ้มทุนนี้ไม่ได้
รายได้มีปัญหาแน่นอน เช่น ขายข้าวกล่องออนไลน์ ราคากล่องละ 80 บาท มีค่าดำเนินการ
ตั้งแต่ต้นทุนผันแปร(ราคาค่าวัตถุดิบมีขึ้นลง) เป็นค่าการจัดหาวัตถุดิบ
การปรุง ค่าอุปกรณ์ ค่าขนส่ง จิปาถะ มีต้นทุนต่อกล่องที่ 45 บาท รวมถึงจ้างคนงานในครัวอีก 2 คน
จ่ายรายเดือนคนละ 12,000 บาท เท่ากับมีต้นทุนคงที่(ต้นทุนที่ต้องจ่ายทุกเดือนแม้จะไม่ได้ขาย)ต่อเดือน
2,4000 บาท
ต้องขายข้าวกล่องวันละเท่าไหร่จึงจะคุ้มทุน
?
ลองตั้งสูตร
จุดคุ้มทุนต่อชิ้น/เดือน
= ต้นทุนคงที่ หาร (ราคาต่อหน่วย ลบ ต้นทุนผันแปร)
24,000 หาร (80 – 45) = ต้องขายได้ขั้นต่ำ = 685 กล่องต่อเดือน
ค่าเฉลี่ยขายได้วันละ
22 กล่องคือคุ้มทุน (หมายความว่ายังไม่ได้กำไร)
กรณีนี้
หากเจ้าของร้านข้าวกล่องอินดี้หน่อย ต้องการทำข้าวกล่องแค่วันละ 300
กล่องแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นสำหรับคนที่อยากกินเท่านั้น ต้องการหาสูตรคำนวณราคาขายต่อกล่องถึงจะคุ้มค่า
ก็ประกอบด้วย ต้นทุนแปรผัน คือราคาทุนข้าวกล่องกล่องละ 65 บาท มีต้นทุนคงที่ 24,000
บาท (ค่าพนักงาน) ภายใต้โจทย์ 300 กล่องต่อวัน ต้องขายข้าวกล่องราคาขั้นต่ำเท่าไหร่
ตั้งสูตร
ต้นทุน
= ต้นทุนคงที่ บวก (ต้นทุนแปรผัน คูณ จำนวนสินค้า) หาร
จำนวนสินค้า
ตั้งสูตร 24,000 + (65 X
300) หาร 300
ต้นทุนข้าวกล่องอินดี้ราคาต่อชิ้นที่ต้องขาย
= 145 บาท (ผู้ขายอาจบวกราคาไปอีก 20 -30% เพื่อให้มีกำไร)
สิ่งเหล่านี้เป็นหลักการพื้นฐานในการคำนวณต้นทุนผู้ประกอบการร้านอาหาร
หรือ ขายออนไลน์ หรือแม้แต่โรงงานขนาดเล็กสามารถนำไปปรับใช้ได้
ในขณะที่ธุรกิจในปัจจุบันนิยมสั่งของจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรง
ลักษณะจ้างผลิต (OEM) มาทำการตลาดออนไลน์และขายให้ลูกค้า แล้วต้องการตั้งราคาขายต่อกล่อง
มายกตัวอย่างการคำนวณต้นทุนแบบนี้กัน
เช่น
นาย ก จ้างผลิตอาหารเสริม 10,000 กล่อง ราคากล่องละ 120 บาท มีค่าขนส่งจากโรงงาน 3,000 บาท
ค่าจ้างดูแลเพจตอบคำถามลูกค้า 12000 บาท/เดือน
10,000
X (120 + 3000
+ 12,000) หาร 10,000
ต้นทุนต่อชิ้นเท่ากับ 121.5 บาท
ในขณะที่หากเป็นโรงงานหรือกิจการขนาดใหญ่
แน่นอนว่าย่อมคำนวณต้นทุนสินค้าต่อหน่วยเป็น
แต่ก็มีสิ่งที่ผู้ประกอบการลักษณะนี้สามารถลดต้นทุนได้ ด้วยการจัดการต้นทุนด้านโลจิสติกส์
กิจกรรมหลักที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าหรือบริการ
การตลาดและการขนส่งสินค้าหรือบริการไปยังผู้บริโภค ประกอบด้วย
1.
โลจิสติกส์ขาเข้า เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการได้รับการขนส่ง การจัดเก็บ และการแจกจ่ายวัตถุดิบ
รวมถึงการจัดการสินค้าคงเหลือ
2.
การปฏิบัติการภาคผลิต
เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนหรือแปรรูปวัตถุดิบให้ออกมาเป็นสินค้า
เป็นขั้นตอนตั้งแต่เริ่มการผลิต การบรรจุ จนถึงการตรวจสอบคุณภาพ
3.
โลจิสติกส์ขาออก เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ รวบรวม
จัดจำหน่ายสินค้าและบริการไปยังลูกค้า
4.
การขายและการส่งเสริมการตลาด
เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการชักจูงให้ลูกค้าซื้อสินค้าและบริการ เช่น
การเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย การโฆษณา และการส่งเสริมการขาย
5.
การบริการ
เป็นกิจกรรมที่ครอบคลุมถึงการให้บริการเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า
รวมถึงการบริการหลังการขาย การแนะนำการใช้
ต้นทุนคือค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนได้ เท่ากับลดค่าใช้จ่าย และอาจส่งผลต่อกำไรที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเจ้าของกิจการจึงต้องให้ความสำคัญต่อต้นทุนตั้งแต่ภาคการผลิต ตลอดจนพิจารณาดูว่าปัจจัยภายในองค์กรของตนเองมีปัจจัยใดที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กิจการได้บ้าง