Cultured Meat สัญชาติไทย อีกทางเลือกความมั่นคงด้านอาหารอนาคต
Cultured Meat หรือเนื้อแห่งอนาคต ซึ่งมีชื่ออื่นๆ เช่น Clean Meat, Synthetic Meat หรือ In Vitro Meat โดยเนื้อดังกล่าวเกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสเต็มเซลล์ (Stem cell) ของสัตว์ภายนอกร่างกายของสัตว์นั้นๆ โดยนำไปเพาะเลี้ยงในห้องทดลองด้วยเทคนิคทางวิศวกรรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่พื้นที่การปศุสัตว์มีจำกัดและการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ส่งผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อน
เนื้อแห่งอนาคตกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
บริษัท Future Meat Technologies Ltd. บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอลอยู่ระหว่างการเจรจากับหน่วยงานที่กำกับดูแลของประเทศสหรัฐอเมริกา
ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากการเพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อ
(Cell-based meat products) ในร้านอาหารต่างๆ ภายในปลายปี 2565
ทั้งนี้
ตามรายงานของสำนักข่าว Bloomberg บริษัท Future
Meat Technologies เพิ่งเปิดโรงงาน ที่เรียกว่าโรงงานผลิตเนื้อสัตว์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแห่งแรกของโลก
โดยโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตได้มากกว่า 1,000 ปอนด์ต่อวัน
(453.59 กิโลกรัมต่อวัน)
และบริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานเพิ่มเติมในหลายแห่งในสหรัฐฯ
โดยโรงงานแห่งนี้สามารถผลิตเนื้อไก่
เนื้อหมู และเนื้อแกะจากการเพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อ โดยไม่มีการใช้น้ำเหลือง (Serum) จากสัตว์และไม่มีการใช้การดัดแปลงพันธุกรรม (non-GMO)
ขณะที่การผลิต เนื้อวัวกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและคาดว่าจะสามารถผลิตได้ในไม่ช้านี้
นอกจากนี้การผลิตในรูปแบบนี้จะช่วยให้วงจรการผลิตรวดเร็วมากกว่าการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบเดิมถึง
20 เท่า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse
emission) ลงร้อยละ 80 ลดการใช้พื้นที่ทำฟาร์มลงร้อยละ
99 และลดการใช้น้ำจืดที่ใช้สำหรับการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบเดิมลงร้อยละ
96
สำหรับอุตสาหกรรมนี้
ในปัจจุบันมีบริษัทมากกว่า 75 บริษัทในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จากการ เพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อ
ที่ผลิตเนื้อวัวและเนื้อไก่ที่มาจากการเพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อ
และคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนของมูลค่าทางตลาดสูงถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากทั่วโลกภายในปี 2573 ตามรายงานของ McKinsey and
Company
เนื้อหมูเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ Made in Thailand
ล่าสุดเมื่อ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา คณะสัตวแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดเผยถึงการพัฒนา ‘เนื้อหมูจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ’ ซึ่งเป็นนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตที่ได้ศึกษาวิจัยกว่า 2 ปีโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์
นายสัตว์แพทย์ ดร.เจนภพ สว่างเมฆ จากศูนย์ Veterinary
Stem Cell and Bioengineering Innovation Center (VSCBIC) เพื่อเป็นนวัตกรรมทางเลือกในการบริโภคเนื้อสัตว์
โดยไม่จำเป็นต้องเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม ไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูง
ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงตอบโจทย์ผู้บริโภคด้านคุณค่าด้านโภชนาการและความปลอดภัยทางอาหาร
ซึ่งในทุกเนื้อเยื่อจะมีสเต็มเซลล์ซ่อนอยู่ ทีมวิจัยใช้วิธีการที่พัฒนาขึ้นมาแยกเซลล์นั้นออกมา
แล้วนำมาเพาะเลี้ยงให้ห้องทดลองเพื่อเพิ่มจำนวน ถ้าได้เซลล์อย่างเหมาะสม
เซลล์นั้นจะเพิ่มจำนวนต่อเนื่องได้เรื่อยๆ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก
ขึ้นอยู่กับกระบวนการเลี้ยง การผลิตและการสร้างชิ้นเนื้อขึ้นมา
จุดเด่นของเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงคือความสะอาด
เครื่องมือและระบบการผลิตเป็นระดับเดียวกับที่ใช้ผลิตยารักษาโรค ทำให้มีความสะอาด -
ปลอดภัย แทบไม่มีสิ่งแปลกปลอม โดยจากการวิจัยเป็นเนื้อสุกรในรูปแบบเนื้อแดงและเนื้อสามชั้น
เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ส่วนในอนาคตมีการวางแผนเพาะเนื้อเยื่อสัตว์ประเภทอื่นๆ
เช่น เนื้อวัว ปลา กุ้ง
โดยผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงอยู่ระหว่างขั้นตอนการวิจัย
เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตในโรงงาน
และคาดว่าจะสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงให้ผู้บริโภคได้รับประทานในอีก
2-3 ปี โดยจะผลิตเนื้อออกมาในรูปแบบอาหารแปรรูป
เช่น ไส้กรอก แฮม
หรือผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์กึ่งสำเร็จรูปหลายแบบที่มีจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ
รวมทั้งจะมีการผลิตเนื้อที่มีมูลค่าสูง เช่น สเต็ก วากิว
เนื้อสัตว์ปรุงสำเร็จรูปบรรจุหีบห่อออกมาจำหน่าย
ซึ่งในอนาคตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงจะเป็นอาหารทางเลือก ที่อาจจะเข้ามาทดแทนเนื้อสัตว์ตามธรรมชาติ ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องเพิ่มศักยภาพทางการผลิตเพื่อแข่งขันในตลาดโลกเช่นกัน
‘ไทย’ อันดับ 3
ความมั่นคงทางอาหารในอาเซียน 2564
นิตยสาร the Economist เผยแพร่ดัชนีความมั่นคงทางอาหารโลก ประจำปี 2564
(Global Food Security Index 2021)
ประเมินปัจจัยเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร ได้แก่ ความสามารถในการหาซื้ออาหาร
ความเพียงพอของอาหาร คุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร
และทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืน จาก 113 ประเทศทั่วโลก
5 อันดับชาติสมาชิกอาเซียนที่มีความมั่นคงด้านอาหารมากที่สุด
1. อันดับ 15 สิงคโปร์
(ภาพรวม 77.4 คะแนน /
ความสามารถในการหาซื้อ 87.9 คะแนน /
ความเพียงพอของอาหาร 82.9 คะแนน /
คุณภาพและความปลอดภัย 79.1 คะแนน /
ทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืน 46.7 คะแนน)
2. อันดับ 39 มาเลเซีย
(ภาพรวม 70.1 คะแนน /
ความสามารถในการหาซื้อ 85.6 คะแนน /
ความเพียงพอของอาหาร 64.0 คะแนน /
คุณภาพและความปลอดภัย 76.3 คะแนน /
ทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืน 46.6 คะแนน)
3. อันดับ 51 ไทย
(ภาพรวม 64.5 คะแนน /
ความสามารถในการหาซื้อ 81.8 คะแนน /
ความเพียงพอของอาหาร 57.3 คะแนน /
คุณภาพและความปลอดภัย 59.5 คะแนน /
ทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืน 50.8 คะแนน)
4. อันดับ 61 เวียดนาม
(ภาพรวม 61.1 คะแนน /
ความสามารถในการหาซื้อ 68.9 คะแนน /
ความเพียงพอของอาหาร 60.4 คะแนน /
คุณภาพและความปลอดภัย 64.3 คะแนน /
ทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืน 44.9 คะแนน)
5. อันดับ 64 ฟิลิปปินส์
(ภาพรวม 60.0 คะแนน /
ความสามารถในการหาซื้อ 74.3 คะแนน /
ความเพียงพอของอาหาร 53.9 คะแนน /
คุณภาพและความปลอดภัย 61.5 คะแนน /
ทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืน 43.6 คะแนน)
หมายเหตุ : อันดับ 1 ได้แก่ ไอร์แลนด์
และอันดับ 113 ได้แก่ บุรุนดี
แหล่งอ้างอิง : คณะสัตวแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ
ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี., สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต, ศูนย์ข้อมูลข่าวสารอาเซียน