การตลาด (Marketing) คืออะไร? สุดยอดคู่มือฉบับสมบูรณ์ [อัปเดต 2025]
ทำไมเราถึงเลือกซื้อกาแฟ Starbucks แทนที่จะเป็นแบรนด์อื่น? ทำไม iPhone ถึงสร้างกระแสได้ทุกปี? คำตอบของทุกคำถามเหล่านี้คือ “การตลาด”
การตลาด (Marketing) ไม่ใช่แค่การโฆษณา แต่เป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนในการทำความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์และสร้างความต้องการขึ้นในใจผู้บริโภค ซึ่งเป็นเหตุผล ที่ทำให้บางแบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ขณะที่บางแบรนด์ต้องเลือนหายไป
บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะพาคุณไปทำความเข้าใจโลกของการตลาด ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานในยุคดั้งเดิม จนถึงกลยุทธ์ที่ล้ำสมัยในยุคดิจิทัล เพื่อให้คุณมองเห็นภาพรวมและนำความรู้นี้ไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตลาด หรือ Marketing คือกระบวนการในการสร้าง ส่งมอบ และสื่อสารคุณค่า ของสินค้าหรือบริการไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กร
Marketing คืออะไร? เจาะลึกนิยามและความสำคัญที่แท้จริง
การตลาด vs การขาย vs การโฆษณา ต่างกันอย่างไร?
การตลาด (Marketing)
การตลาดคือกระบวนการที่ครอบคลุมทั้งหมดตั้งแต่การวิจัย การวางแผน และการสร้างคุณค่าของสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีเป้าหมายเพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว
การโฆษณา (Advertising)
การโฆษณา เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดและเป็นเครื่องมือหลักในการเผยแพร่ข้อมูล เป็นการซื้อพื้นที่สื่อต่าง ๆ เพื่อสื่อสารข้อความไปยังกลุ่มเป้าหมาย มีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้และความสนใจในสินค้าหรือแบรนด์ในวงกว้าง
การขาย (Sales)
การขาย คือขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการที่มุ่งเน้นไปที่การปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้าเพื่อปิดการขายให้สำเร็จและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าที่จ่ายเงิน
หัวใจสำคัญของการตลาด: แนวคิดและทฤษฎีที่ต้องรู้
4Ps (Marketing Mix) ส่วนผสมทางการตลาดสุดคลาสสิก
4Ps Marketing คือเครื่องมือทางการตลาดแบบดั้งเดิม เป็นรากฐานของการวางแผนการตลาดมายาวนานประกอบด้วย
Product (ผลิตภัณฑ์) การกำหนดลักษณะและคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการที่นำเสนอ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย
Price (ราคา) การตั้งราคาที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนมูลค่าของผลิตภัณฑ์และเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย) การเลือกช่องทางและสถานที่ที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างสะดวก
Promotion (การส่งเสริมการขาย) กิจกรรมสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้และความสนใจในผลิตภัณฑ์ รวมถึงการกระตุ้นยอดขาย เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และการจัดกิจกรรมทางการตลาด
7Ps Marketing : เมื่อการตลาดขยายสู่ภาคบริการ
เป็นแนวคิดที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก 4Ps ให้ครอบคลุมการตลาดในยุคดิจิทัลมากขึ้น โดยเพิ่มปัจจัยที่ควรพิจารณาอีก 3 ปัจจัย ได้แก่
People (บุคลากร) ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแบรนด์ทั้งหมด ตั้งแต่พนักงานไปจนถึงผู้มีอิทธิพลทางความคิด (Influencers) การที่บุคลากรเข้าใจและนำเสนอแบรนด์ได้อย่างถูกต้องจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้
Process (กระบวนการ) ขั้นตอนการให้บริการตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ การจัดส่ง หรือการบริการหลังการขาย กระบวนการที่ราบรื่นจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
Physical Evidence (ลักษณะทางกายภาพที่ลูกค้าสัมผัสได้) สิ่งที่บ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในโลกออนไลน์ เช่น การออกแบบเว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพ การมีตัวตนบนโซเชียลมีเดียที่สม่ำเสมอ และการให้รีวิวที่น่าเชื่อถือ
STP Marketing: กลยุทธ์เลือกสนามรบและวางตำแหน่ง
เป็นกลยุทธ์ Marketing ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เจาะจง โดยมี 3 ขั้นตอนหลักดังนี้
S - Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด) คือการแบ่งผู้บริโภคในตลาดออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ประชากรศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พฤติกรรม หรือค่านิยม เพื่อให้เข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น
T - Targeting (การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย) คือการเลือกกลุ่มลูกค้าที่มีคุณค่าและเหมาะสมที่สุดจากกลุ่มที่แบ่งไว้ โดยพิจารณาจากปัจจัย เช่น ขนาดของกลุ่ม ความสามารถในการทำกำไร และประโยชน์ที่ธุรกิจสามารถมอบให้
P - Positioning (การวางตำแหน่งทางการตลาด) คือการกำหนดกลยุทธ์ Marketing เพื่อสร้างภาพลักษณ์และจุดเด่นให้กับแบรนด์ โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและแตกต่างจากคู่แข่ง โดยอาจเน้นไปที่การวางตำแหน่งแบบเชิงสัญลักษณ์ เชิงประสบการณ์ หรือเชิงการใช้งาน
การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) vs การตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing)
ความแตกต่างหลักระหว่าง Digital Marketing และ Traditional Marketing คือ ช่องทางที่ใช้สื่อสาร โดย Traditional Marketing จะใช้ช่องทางออฟไลน์ที่มีมาก่อนยุคอินเทอร์เน็ต เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และป้ายบิลบอร์ด ส่วน Digital Marketing จะใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และอีเมล
การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing)
การตลาดประเภทนี้ คือการใช้ช่องทางออนไลน์และสื่อดิจิทัลในการเข้าถึงลูกค้า เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือ Search Engine ข้อดีคือ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ วัดผลได้แบบเรียลไทม์ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจง แต่ก็มีการแข่งขันสูง ต้องใช้ทักษะเฉพาะด้าน และเปิดรับคำวิจารณ์จากสาธารณะ
การตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing)
Traditional Marketing คือการตลาดที่ใช้สื่อแบบดั้งเดิมในการสื่อสาร เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือป้ายบิลบอร์ด ข้อดีคือ สามารถเข้าถึงผู้คนได้ในวงกว้าง และสร้างความจดจำได้ดี แต่ ข้อเสียคือ วัดผลลัพธ์ได้ยาก ไม่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจง และค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง
สรุปแล้วความแตกต่างของการทำ Marketing ทั้งสองรูปแบบคือการเลือกช่องทางในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย และการใช้ทั้งสองแบบร่วมกันก็เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการทำ Marketing ในปัจจุบัน
Marketing มีอะไรบ้าง เจาะลึกช่องทาง Digital Marketing ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้คนใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน รวมทั้งการติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูล หรือซื้อสินค้าและบริการล้วนอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นเหตุผลให้แบรนด์ต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับตัว เพราะนี่คือช่องทางที่มีมูลค่าและยังเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยช่องทางการทำ Digital Marketing ที่น่าสนใจมีดังนี้
Search Engine Marketing (SEM): การตลาดบน Google
Search Engine Marketing (SEM) คือ การทำการตลาดทุกรูปแบบที่มุ่งเป้าให้เว็บไซต์ติดอันดับและมองเห็นได้ชัดบนหน้าผลการค้นหาของ Search Engine เช่น Google เรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดแบบครบวงจรบน Search Engine เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้ามายังเว็บไซต์ ซึ่งประกอบด้วย 2 วิธีหลักคือ
SEO (Search Engine Optimization) คือกลยุทธ์ Marketing ระยะยาวที่เน้นการปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์ให้มีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบธรรมชาติโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการแสดงผล แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เห็นผลทันทีแต่จะมีความยั่งยืน
PPC (Pay-Per-Click) เป็นการลงโฆษณาแบบเสียเงินเพื่อให้เว็บไซต์ไปแสดงผลที่ส่วนบนสุดของหน้าค้นหาทันที เช่น Google Ads คือโซลูชันโฆษณาแบบเสียเงินที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว ธุรกิจจะจ่ายเงินเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเท่านั้น ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับแคมเปญให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายหรือช่วงโปรโมชันต่าง ๆ
Social Media Marketing (SMM): การตลาดบนโซเชียลมีเดีย
Social Media Marketing คือการทำ Marketing ในโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น การสร้างการรับรู้แบรนด์ เพิ่มการมีส่วนร่วม หรือกระตุ้นยอดขาย โดยข้อดีของการทำ SMM คือสร้างการรับรู้ในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ด้วยเครื่องมือโฆษณาที่แม่นยำ สร้างความสัมพันธ์และความภักดีกับลูกค้า ทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าและคู่แข่งได้อีกด้วย
Facebook มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่และหลากหลายที่สุดในไทย ทำให้เหมาะกับการสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง
จุดเด่น: มีเครื่องมือโฆษณาที่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียดแม่นยำ เหมาะสำหรับการสร้างลูกค้าที่สนใจ (Lead) และกระตุ้นยอดขาย
Instagram เน้นกลุ่มผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 25-34 ปี
จุดเด่น: เหมาะสำหรับการสร้างภาพลักษณ์และตัวตนของแบรนด์ ผ่านรูปภาพและวิดีโอคุณภาพสูง เป็นช่องทางยอดนิยมสำหรับการทำ Influencer Marketing
TikTok มีฐานผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ (Gen Z และ Millennials)
จุดเด่น: มีศักยภาพในการเป็นไวรัลสูงมาก และโดดเด่นเรื่องคอนเทนต์วิดีโอสั้น เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างกระแสและเข้าถึงคนรุ่นใหม่
LINE มีผู้ใช้งานในไทยจำนวนมากและครอบคลุมทุกช่วงวัย เป็นช่องทางสื่อสารหลักในชีวิตประจำวัน
จุดเด่น: เหมาะสำหรับการสื่อสารและการทำ Marketing แบบส่วนตัวและตรงถึงลูกค้า ผ่านบัญชีทางการ (LINE Official Account) และเหมาะกับการสร้างคอมมูนิตี้ในกลุ่ม LINE OpenChat
Content Marketing: การตลาดผ่านเนื้อหาที่มีคุณค่า
เป็นการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีประโยชน์และน่าสนใจ เช่น บทความ วิดีโอ หรืออินโฟกราฟิก เพื่อดึงดูดลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามาหาแบรนด์อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ได้มุ่งเน้นการขายโดยตรง
Email & CRM Marketing: การตลาดที่ตรงใจที่สุด
เป็นการใช้ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) และอีเมลเพื่อสื่อสารกับลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล โดย Email Marketing ยังคงมีความสำคัญในยุคนี้ เพราะให้ผลตอบแทนสูงและช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้ได้โดยตรง ไม่ต้องพึ่งพาอัลกอริทึม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว รักษาลูกค้าเดิม และกระตุ้นยอดขายด้วยข้อเสนอที่ตรงใจ
Influencer Marketing: พลังของบุคคลที่สาม
การตลาดแบบ Influencer Marketing คือการใช้บุคคลที่มีอิทธิพลหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มาช่วยโปรโมทสินค้าหรือบริการ หัวใจสำคัญของ Marketing รูปแบบนี้อยู่ที่การสร้างความน่าเชื่อถือและความจริงใจ ซึ่งแบรนด์จะเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีภาพลักษณ์และสไตล์ที่สอดคล้องกับแบรนด์อยู่แล้ว เพื่อให้เนื้อหาออกมาดูเป็นธรรมชาติและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Marketing Funnel: ทำความเข้าใจเส้นทางของผู้บริโภค
วิธีสร้างแผนการตลาด (Marketing Plan) ฉบับเริ่มต้นใน 5 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1: กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ (Set SMART Goals)
SMART Goals คือหลักการตั้งเป้าหมายที่มีความเจาะจง (Specific) และสามารถวัดผลได้จริง (Measurable) สามารถบรรลุผลได้ (Attainable) เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลักของธุรกิจ (Relevant) พร้อมกับมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน (Time-bound) เช่น การเพิ่มยอดผู้ติดตาม Instagram 15 % ภายในสามเดือน
ขั้นที่ 2: กำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Define Target Audience)
กำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนด้วยการสร้างหรือปรับปรุง Buyer Personas หรือการสร้างภาพจำลองของลูกค้าในอุดมคติที่เจาะลึกถึงเป้าหมาย ความท้าทาย และแรงจูงใจของลูกค้า เพื่อช่วยให้สามารถสื่อสารและทำ Marketing ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนผู้ที่สนใจให้กลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด
ขั้นที่ 3: วิเคราะห์คู่แข่งและตลาด (Analyze Competitors & Market)
การวิเคราะห์คู่แข่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการวางแผนการทำ Marketing เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ของตลาดปัจจุบัน สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับคู่แข่ง และมองหาจุดที่คู่แข่งขาดไปเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันให้กับธุรกิจของเราได้
ขั้นที่ 4: เลือกช่องทางและวางกลยุทธ์ (Choose Channels & Tactics)
การเลือกช่องทางและวางกลยุทธ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำหลังจากที่คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนและวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่งแล้ว โดยต้องพิจารณาว่า กลยุทธ์ (Tactics) แบบไหนจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย และควรใช้ ช่องทาง (Channels) ใดจึงจะเหมาะสมที่สุดในการทำ Marketing
เช่น หากต้องการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น (Gen Z) ควรใช้แพลตฟอร์ม TikTok และ Instagram โดยมีกลยุทธ์คือการทำ Challenge การใช้เพลงฮิตใน TikTok หรือการเปิดให้มีการถาม-ตอบ (Q&A) บน Instagram Story
ขั้นที่ 5: กำหนดงบประมาณและตัวชี้วัด (Set Budget & KPIs)
การกำหนดงบประมาณ (Budget) คือการจัดสรรเงินทุนสำหรับการทำ Marketing
เช่น ค่าโฆษณา ค่าจ้างบริษัทภายนอก (Agency) และซอฟต์แวร์การตลาด ส่วนตัวชี้วัด (KPIs) คือเครื่องมือที่ใช้ติดตามและวัดผลความสำเร็จของการใช้จ่ายนั้น ๆ เช่น จำนวนผู้ติดตาม หรือยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) โดยการวางแผนทั้งสองส่วนนี้จะช่วยให้ธุรกิจใช้เงินได้อย่างคุ้มค่าและตรวจสอบได้ว่าการลงทุนทางการตลาดให้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายหรือไม่
เทรนด์การตลาดแห่งอนาคตที่ต้องจับตามอง (Future Marketing Trends)
AI Marketing: เมื่อปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยทำการตลาด
AI Agent: AI จะไม่ได้แค่สร้างคอนเทนต์ แต่สามารถควบคุมและทำงานต่าง ๆ ข้ามแพลตฟอร์มได้ เช่น การสร้างแคมเปญโฆษณาตั้งแต่ต้นจนจบ
Hyper-personalized ads: AI ช่วยให้โฆษณาถูกปรับเปลี่ยนแบบเรียลไทม์ตามพฤติกรรมและความชอบของผู้ใช้ ทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
Personalization at Scale: การตลาดแบบรู้ใจคน
ในยุค Personalization Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคล การทำ Personalization Marketing จะถูกยกระดับขึ้นด้วยเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจรู้ใจลูกค้าได้ เช่น
AI-Driven Personalization การตลาดแห่งอนาคตจะขับเคลื่อนด้วย AI ที่ใช้ข้อมูลลูกค้าโดยตรง (First-Party และ Zero-Party Data) เป็นหลัก เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมและปรับแต่งโฆษณาแบบเรียลไทม์ ทำให้แบรนด์สามารถส่งมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำและในวงกว้าง
ความสมดุลเรื่องการตลาดกับความเป็นส่วนตัว (Privacy-Conscious) ความท้าทายที่สำคัญคือการสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าโดยไม่ละเลยความเป็นส่วนตัว โดยแบรนด์ต้องสร้างความไว้วางใจด้วยการมีความโปร่งใส และปกป้องข้อมูลของลูกค้าอย่างปลอดภัยที่สุด
Sustainability Marketing: การตลาดเพื่อความยั่งยืน
การร่วมมือแบบเจาะจงกับ Eco-Influencers: แบรนด์จะเน้นร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืนอย่างแท้จริง สร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
การตลาดท้องถิ่น: การสร้างแคมเปญในระดับท้องถิ่นมากขึ้นเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่ง เช่น แคมเปญ “Farm-to-Table” ร้านอาหารที่โปรโมทว่าใช้วัตถุดิบสดใหม่จากฟาร์มในพื้นที่ใกล้เคียง หรือการร่วมมือกับผู้ผลิตในท้องถิ่นโดยการร่วมงานกับกลุ่มชาวบ้านในชุมชนเพื่อใช้สมุนไพรท้องถิ่นมาเป็นส่วนผสมหลัก และใช้ Marketing เพื่อเล่าเรื่องราวที่มาของผลิตภัณฑ์
บทสรุป: การตลาดคือลมหายใจของธุรกิจ
Marketing คือการลงทุนที่สำคัญ การลงทุนในกลยุทธ์การตลาดที่ถูกต้องจะช่วยลดต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ เพิ่มยอดขาย รักษาฐานลูกค้าเก่า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ไม่มีใครเทียบได้ การตลาดจึงเป็นลมหายใจของธุรกิจ หากปราศจากการตลาดที่แข็งแกร่ง แบรนด์ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกใบนี้ โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา
เทรนด์ Marketing ในอนาคตจะมุ่งสู่การใช้ AI เป็นหลักในการทำ Personalization at Scale ขณะเดียวกันแบรนด์จะให้ความสำคัญกับการตลาดเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Marketing) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความผูกพันกับผู้บริโภคที่ใส่ใจในคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ขณะที่หัวใจของการตลาดไม่ได้อยู่แค่การทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อแต่คือการทำให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าที่ภักดีและพร้อมจะบอกต่อ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดจาก Marketing Funnel ที่ช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับธุรกิจได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
Marketing vs. advertising: What’s the difference? สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 จาก https://asana.com/resources/marketing-vs-advertising-difference
The Digital Marketing Mix: How the 4Ps Have Evolved in the Age of Internet สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 จาก Marketinghttps://www.towermarketing.net/blog/digital-marketing-mix-4ps/
Online Marketing vs Traditional Marketing มาดูความแตกต่างของการตลาดทั้งสองแบบกัน สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 จาก https://contentshifu.com/blog/online-marketing-vs-traditional-marketing/
SEO vs. PPC: When to Optimize and When to Pay for Traffic สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 จาhttps://blog.hubspot.com/marketing/tabid/6307/bid/1514/paid-search-vs-organic-search.aspx
คู่มือ Social Media Marketing ตั้งแต่พื้นฐานสู่กลยุทธ์ AI & Social CRM สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 จาก https://blog.cresclab.com/th/social-media-marketing
6 Steps to Create an Outstanding Marketing Plan [Free Templates] สืบค้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 จาก https://blog.hubspot.com/marketing/marketing-plan-template-generator