‘Digital Healthcare’ ผู้ช่วยบุคลากรแพทย์ไทย สู้ภัยโควิดระบาด
ยุคปัจจุบัน ‘ดิจิทัล’ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราทุกคน ทั้งด้านเศรษฐกิจ คมนาคม
การสื่อสาร และอื่นๆ รวมถึงอุตสาหกรรมทางการแพทย์ (Healthcare) เนื่องจากอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวและเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ
ให้ทันท่วงที
เนื่องจากการแพทย์คือแนวหน้าในการสู้กับโควิด 19 จึงมีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างหลากหลาย เช่น การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics & Automation) การปฏิบัติงานทางไกล (Telemedicine) รวมถึงการให้คำปรึกษาออนไลน์ (Video Conferencing) เป็นต้น ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ จะส่งผลให้การรักษาโรคมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยในต่างประเทศเช่น ‘จีน’ ได้มีการปรับตัวใช้เทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว มีการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ
ที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น Cloud, Blockchain, AI, Big Data, 5G และ
Robot มาสนับสนุนทางการแพทย์ เช่น
การใช้หุ่นยนต์เพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อที่จำเป็นต้องเว้นระยะห่าง
รวมทั้งการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล อีกทั้งยังช่วยลำเลียงยารักษาโรค
ทั้งยังมีการใช้โดรนในการพ่นยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาความสะอาด อีกด้านหนึ่งที่สำคัญอย่างมากคือ
การคัดกรองผู้ป่วย มีการใช้กล้องถ่ายภาพตรวจวัดอุณหภูมิ เป็นต้น
ด้านแคนาดาได้คิดค้นระบบติดตามโควิด 19
ออนไลน์แบบเรียลไทม์
ทำให้ประชาชนได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อโดยจะแบ่งตามภูมิภาค เพื่อให้ผู้คนได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็วนำไปสู่การป้องกันตัวเองได้อย่างทันท่วงที
ส่วนญี่ปุ่นได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ในเวลาเพียง 5 นาที ขณะที่ไต้หวันได้พัฒนาเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (Virtual
Reality) เพื่อสอนนักศึกษาแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 โดยไม่จำเป็นต้องทดลองรักษากับคนไข้จริงเพื่อลดความเสี่ยง
สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรม Healthcare
กำลังเผชิญความท้าทายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทุกปี การเกิดโรคใหม่ๆ
ซึ่งผลที่ตามมาคือ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนในประเทศที่สูงขึ้น
ซึ่งหลังจากการระบาดของโควิด 19
ประเทศไทยต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เรียกว่า New normal โดยมีหลักสำคัญ
3 ประการที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขต้องเตรียมพร้อมคือ
1.
เน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์เป็นสำคัญ
2. ลดความแออัดของผู้ป่วยในสถานพยาบาล
3.
ต้องไม่มีความเหลื่อมล้ำในการได้รับการรักษา
โดยตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในไทย ภาครัฐและเอกชนได้มีการคิดค้น พัฒนานวัตกรรมในการรับมือการระบาด เช่น
โครงการ Pattani Model ที่จังหวัดปัตตานี
ปรับบริการทางการแพทย์วิถีใหม่
มีการจำลองโรคผู้ป่วยโดยจำแนกเป็นสามกลุ่มตามสัญญาณไฟจราจร ได้แก่ สีเขียว
(มีความเสี่ยงน้อย) สีเหลือง (มีความเสี่ยงปานกลาง) และสีแดง (มีความเสี่ยงสูง)
ซึ่งพิจารณาจากความจำเป็นในการดูแลทางการแพทย์โดยตรงและความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด
19 ผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นต้องไปที่สถานพยาบาล จะใช้แอปพลิเคชันเพื่อปรึกษาทางไกลกับแพทย์
ส่วนยาและอุปกรณ์ต่างๆ จะถูกส่งไปให้กับประชาชนถึงบ้านโดยมีอาสาสมัครในหมู่บ้านให้ความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น
กล้องจดจำใบหน้าเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิและแจ้งเตือนผู้ที่ไม่สวมใส่หน้ากาก
มีการนำหุ่นยนต์บริการทางการเแพทย์มาใช้ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี
เพื่อคอยช่วยรับส่งอาหารและยา พร้อมส่งอุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณชีพผู้ป่วย
หรือที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้มีหุ่นยนต์ เวสตี้ (Wastie) เก็บขยะติดเชื้อ โดยใช้แขนกลยกถังขยะติดเชื้อไปยังกระบะจัดเก็บ
เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแก่บุคลากรทางการแพทย์
ในอนาคตหากไทยต้องการเป็น Medical
Hub ของอาเซียนรวมถึงเอเชีย ขณะนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองและตระหนักถึงความสำคัญของการนำ
‘Digital Healthcare’ มาใช้ให้มากขึ้นเพื่อเป็นตัวช่วยบุคลากรแพทย์ไทยสู้ภัยโควิดระบาดในขณะนี้
โดยสามารถศึกษาจากกรณีตัวอย่างจากประเทศอื่นๆ นำมาต่อยอดการพัฒนาทั้งในด้านของเทคโนโลยีและนวัตกรรม
รวมถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตยั่งยืนได้
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล