จุดแข็ง-จุดอ่อนธุรกิจครอบครัว VS ธุรกิจทั่วไป ใครได้เปรียบ เสียเปรียบ!
ความหมายของคำว่า ธุรกิจครอบครัว (Family Business) และ ธุรกิจทั่วไป (Business) อาจจะมีเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่าง 2 คำนี้ เชื่อว่าหลายคนยังมีข้อสงสัยว่า อะไรคือความแตกต่าง และรูปแบบธุรกิจมีวิธีการดำเนินงานเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ติดตามคำตอบได้ในบทความนี้
ธุรกิจครอบครัว VS ธุรกิจทั่วไป
ธุรกิจครอบครัว (Family Business) และ ธุรกิจทั่วไป (Business) แยกได้โดยปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดของธุรกิจ ประเภทธุรกิจ การวางกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ไปจนถึงวัฒนธรรมองค์กรที่วางรากฐานให้พนักงานยึดถือปฏิบัติร่วมกัน เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจครอบครัว อาจจะได้เปรียบด้านความมุ่งมั่น ความไว้วางใจ และวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง ขณะที่ธุรกิจทั่วไป จะมีความได้เปรียบเรื่องความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความสามารถในการแข่งขัน
ธุรกิจครอบครัว คืออะไร?
ธุรกิจครอบครัวตามกฎหมาย อาจแบ่งได้หลายรูปแบบ เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัด, บริษัทจำกัด, บริษัทมหาชน หรือบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
หัวใจสำคัญของธุรกิจครอบครัวคือต้องการให้ความเป็นเจ้าของอยู่ในหมู่เครือญาติพี่น้อง มีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 51 หรือ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หรือธุรกิจที่มีการสืบทอดมาสู่ลูกหลานอีกรุ่นหนึ่ง
รูปแบบของธุรกิจครอบครัว แบ่งเป็น
- ธุรกิจที่อยู่ภายใต้ครอบครัวเดียวกัน
- ธุรกิจครอบครัวที่มีการจ้างผู้บริหารมืออาชีพเข้ามา แต่ครอบครัวยังถือหุ้น
- ธุรกิจครอบครัวที่มีการแบ่งหุ้นให้กับมืออาชีพที่เข้ามาบริหารือหุ้นร่วมกัน
ซึ่งเป้าหมายสำคัญของการสืบทอดธุรกิจร่วมกันคือการรักษา และถ่ายทอดความมั่งคั่ง และชื่อเสียงที่สั่งสมจากบรรพบุรุษ สำหรับรูปแบบธุรกิจครอบครัวมีโมเดล การดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย แต่จะมีโครงสร้างคล้ายๆ กันอยู่ 4 รูปแบบที่ถือว่าใช้ได้ผลดีที่สุดสำหรับธุรกิจครอบครัวในประเทศไทย โดยรูปแบบสำหรับการดำเนินธุรกิจครอบครัวในประเทศไทยที่พบและมีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน ประกอบด้วย
• Dominant Firm
โมเดลธุรกิจนี้เราเห็นได้ทั่วไป โครงสร้างทางการเงินทั้งยอดขาย รายได้ กำไร สินค้า/บริการ ฯลฯ มักจะอยู่กับบริษัทหลัก ส่วนที่เหลือมักจะอยู่กับบริษัทย่อย ถ้าไม่มีบริษัทหลักเช่นนี้ บริษัทย่อย ๆ ก็จะอยู่ด้วยยาก หรือถ้าบริษัทย่อยอยู่ได้ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้
• Group of Silos
โมเดลธุรกิจครอบครัวของคนตระกูลเดียวถือหุ้นร่วมกัน แต่บริหารบริษัทแบบแยกกันเป็นเอกเทศ แม้ในช่วงเริ่มต้นยังไม่เป็นเอกเทศอย่างชัดเจนก็ตาม ทว่า เมื่อบริหารกันไปสักระยะหนึ่งก็จะเกิดเป็น “พื้นที่เฉพาะ” ที่ห้ามก้าวก่ายกัน แล้วเมื่อนานวันเข้ามีทายาทธุรกิจครอบครัวเข้ามาบริหารในภายหลังก็จะกลายเป็น “พื้นที่เฉพาะ” อย่างแท้จริงที่แตะต้องไม่ได้
ข้อเสียคือ กรณีความขัดแย้งนี้อาจเกิดขึ้นได้ หากธุรกิจครอบครัวบางสายตระกูลจะได้ดูแลในธุรกิจที่กำลังเติบโต ขณะที่อีกสายตระกูลได้ดูแลในธุรกิจที่กำลังอิ่มตัวหรือถดถอย ทั้งที่ในเบื้องต้นของการแบ่งธุรกิจให้ดูแลนั้น ทายาททุกคนมีความเป็นเจ้าของกับทุกบริษัท แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ใช่ เนื่องจากมีการพื้นที่การบริหารกันเป็นเอกเทศ จนก้าวก่ายกันไม่ได้ ซึ่งอาจบานปลายจนเกิดเป็นความบาดหมางได้
• Family Corporation
โมเดลการจัดกลุ่มบริษัทเป็นกลุ่มธุรกิจ และสร้างบริษัทโฮลดิ้งคัมพานี (Holding Company) ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เสมือนเป็น “ยานแม่” เสมือนเป็น “กงสี” ในระบบดั้งเดิม ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของคนในครอบครัว เก็บทรัพย์สิน อำนาจ และเงิน โดยมีสมาชิกในครอบครัวเป็นเจ้าของ มีสัญญา กฎระเบียบ ข้อตกลงทางธุรกิจ อีกทั้งมีข้อกำหนดในกรณีละเมิดเหมือนบริษัททั่วไปด้วย
แต่เมื่อทายาทต้องการขยายตัวสู่ธุรกิจใหม่ๆ แล้วเมื่อพิจารณาเห็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้ในทางธุรกิจ บริษัท โฮลดิ้งก็จะเข้าถือหุ้น เพียงแต่จะถือหุ้นสัดส่วนเท่าไรก็ขึ้นกับข้อตกลงภายในครอบครัว
• Nested Business
โมเดลธุรกิจที่มีบริษัทหลัก ขณะเดียวกัน สมาชิกครอบครัวต่างฝ่ายต่างมีธุรกิจของตนเอง หรือบางส่วนก็มีธุรกิจร่วมกัน ทั้งที่ไม่ได้มีความบาดหมางกัน แต่เป็นเพราะภายในธุรกิจครอบครัวไม่มีข้อตกลงร่วมกันในเบื้องต้นว่า ธุรกิจประเภทใดทำได้ หรือห้ามทำ จึงทำให้เกิดโมเดลนี้จึงเป็นผลประโยชน์หลักที่รวมกันเป็นบริษัทของครอบครัว มีความยืดหยุ่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปครอบครัวก็อาจจะห่างเหินกันมากขึ้น
ธุรกิจทั่วไป ประกอบด้วยรูปแบบใดบ้าง?
รูปแบบของการดำเนินธุรกิจ ผู้ประกอบการสามารถเลือกประกอบการได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสมของเงินทุนในการประกอบการ ความพร้อมของทรัพยากร ขนาดและประเภทธุรกิจของธุรกิจที่มีความประสงค์จะดำเนินการ
โดยทั่วไปแล้วการดำเนินธุรกิจสามารถจัดตั้งได้ 3 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบเจ้าของคนเดียว
2. รูปแบบห้างหุ้นส่วน
3. รูปแบบบริษัทจำกัด
ซึ่งรูปแบบทั้ง 3 นี้ มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ในการตัดสินใจนั้น ไม่มีคำตอบที่ดีที่สุดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความพร้อมและความเหมาะสมของผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดย่อมเป็นหลัก
รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์ และผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ก่อตั้ง Famz Co., Ltd. ให้มุมมองว่า ข้อดีที่แตกต่าง ของธุรกิจครอบครัว และสิ่งที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวโดดเด่นกว่าบริษัททั่วไปอย่างชัดเจน ก็คือ “ปัจจัยครอบครัว” ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจได้หากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้อง
แต่ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่มักถูกมองว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งที่ความจริงแล้วธุรกิจครอบครัวสามารถเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ เช่น JCB, Wal-Mart, BMW, ALDI เป็นต้น และมีธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จเป็นตำนานน่าประทับใจมากมาย
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือ ธุรกิจครอบครัวได้รับการยอมรับในเรื่องของการมีค่านิยมเชิงบวกที่สามารถนำประโยชน์มาสู่ภาคเศรษฐกิจและชุมชนที่กิจการตั้งอยู่ด้วย อีกทั้งแทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่หัวข้อเรียกความสนใจเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของพี่น้อง การเลือกที่รักมักที่ชังหรือปัญหาระหว่างรุ่น ในอีกด้านหนึ่งยังมีคุณลักษณะเชิงบวกที่แท้จริงอยู่ในธุรกิจครอบครัวและเห็นได้จากธุรกิจครอบครัวทั่วโลกที่แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจครอบครัวเป็นพลังที่แท้จริงในการสร้างสิ่งที่ดีเช่นกัน
ประโยชน์ของธุรกิจครอบครัวโดยทั่วไปแล้วธุรกิจครอบครัวมักถูกมองว่าเป็นนายจ้างที่ดี เป็นธุรกิจที่เชื่อถือได้และเป็นที่เคารพนับถือ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อธุรกิจครอบครัวมีชื่อเสียงและสามารถดำเนินกิจการสืบต่อกันมาได้หลายชั่วอายุคนแล้ว ข้อดีของการเป็นธุรกิจครอบครัวก็จะมีมากเช่นกัน ซึ่งข้อดีเหล่านี้สามารถทำให้ธุรกิจครอบครัวมีความได้เปรียบในการแข่งขันได้
จุดเด่นของธุรกิจครอบครัว
• ความมุ่งมั่น กล่าวคือ สมาชิกในครอบครัวมักจะมีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจครอบครัวมากกว่าพนักงานในธุรกิจทั่วไป เนื่องจากกิจการนั้น เป็นมากกว่าแค่การทำธุรกิจเพื่อแสวงหากำไร แต่เป็นมรดกต้องรักษาไว้เพื่อสืบทอดให้ลูกหลาน
• ความไว้วางใจ ธุรกิจครอบครัวมักจะมีวัฒนธรรมระหว่างสมาชิกที่เป็นคนในครอบครัว เครือญาติซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
• วัฒนธรรมองค์กร : ธุรกิจครอบครัว มีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและมีส่วนสำคัญในการทำงานร่วมกัน
จุดเด่นของธุรกิจทั่วไป
• ความคล่องตัว เนื่องจากไม่มีข้อจำกัด ด้านความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
• ความยืดหยุ่น เพราะไม่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของสมาชิกในครอบครัว
• ความได้เปรียบในการแข่งขัน ธุรกิจทั่วไปมักจะมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่าธุรกิจครอบครัว เนื่องจากมีความเป็นมืออาชีพและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
อย่างไรก็ดี ทั้งธุรกิจครอบครัวและธุรกิจทั่วไป ต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันไป ธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จได้รับประโยชน์จากข้อดี และมีโครงสร้างที่มีการสื่อสารชัดเจนและมีประสิทธิภาพช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่ลงรอยกัน หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งช่วยให้สามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจโดยมีเป้าหมายร่วมกันและความมุ่งมั่นที่จะได้รับผลลัพธ์ที่ถูกต้องและปราศจากข้อกังขา
ขณะเดียวกัน การทำธุรกิจทั่วไปให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีวิสัยทัศน์ และการบริหารงานด้วยความเข้าใจ มองเป้าหมายให้เป็นจุดเดียวกัน และไปให้ถึงเป้าหมาย เพราะธุรกิจจะขับเคลื่อนไปได้ต้องมาจากความร่วมมือร่วมใจกันของคนในองค์กร
ติดตาม สาระดี ๆ จาก Serie ‘Family Business’ ได้ในบทความตอนหน้า
ขอบคุณข้อมูลโดย GURU รับเชิญ : รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ผู้ก่อตั้งบริษัท แฟมส์ จำกัด (FAMZ)
ข้อมูลเพิ่มเติม : www.famz.co.th
ธุรกิจครอบครัวคืออะไร | 5 Minute Biz Knowledge