การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด
19 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาความเปลี่ยนแปลงในทุกอุตสาหกรรม
ไม่เว้นแม้แต่ “อุตสาหกรรมอาหาร” ที่ต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อรับกระแสการบริโภคของผู้บริโภคในวิถีใหม่
หรือ new normal ซึ่งจะมุ่งเน้นการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น
ทั้งยังมีการปรับรูปแบบการใช้ชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำงานจากที่บ้าน
หรือ Work from Home ซึ่งนั่นจะทำให้ผู้บริโภคสามารถปรับมาใช้เวลาในการปรุงอาหารรับประทานเองมากขึ้น
นำมาสู่การให้ความสำคัญกับเลือกสรรตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงการปรุงอาหาร
เพื่อสุขอนามัย
ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารจึงจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ในปี 2021 เพื่อจะผลิตสินค้าอาหารตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ข้อมูลจากห้าง whole Food ซึ่งเป็นเชนซุปเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียมที่จำหน่ายสินค้าออร์กานิคในสหรัฐ
และสหภาพยุโรป โดยผ่านสาขากว่า 500 สาขาของห้าง
เมื่อเร็วๆ นี้ โดยผ่านการรายงานของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
นครแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ระบุว่า จากการเก็บข้อมูลของฝ่ายจัดซื้อสินค้าที่มาจากท้องถิ่นและต่างประเทศ
รวมถึงทีมงานด้านอาหารของบริษัทกว่า 50 ราย ชี้ชัดว่าเทรนด์อาหารและเครื่องดื่มในปี
2021 มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปอย่างมากหากเทียบกับยุคก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด
พฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคยุค
2021 จะเน้นการปรุงอาหารรับประทานเองมากขึ้น
โดยจะจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น
และรับประทานอาหารมื้อเช้ามากขึ้น
สำหรับประเภทสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตดี
ยังเป็นกลุ่มอาหารที่เรียกว่า “ซุปเปอร์ฟู้ด”
ซึ่งเป็นสินค้าอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูงมีความสำคัญต่อร่างกาย เต็มไปด้วยคุณค่าวิตามินต่างๆ
อาทิ กลุ่มฟังก์ชั่นนอลฟู้ด โปรไบโอติกส์ ยังสามารถขายตัวเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้การผลิตอาหารกลุ่มนี้ได้รับการพัฒนาแปรรูปให้สามารถรับประทานได้ง่ายขึ้น
เก็บได้ระยะยาวและคงคุณค่าสารอาหารเอาไว้ได้
ทั้งนี้ข้อมูลพบว่า
ความหลากหลายของเมนูเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่มาก
ผู้บริโภคจะเน้นบริโภคอาหารเช้าที่ปรุงเอง
แต่จะใส่ใจในรายละเอียดด้วยการเพิ่มลูกเล่นต่างๆ ลงไป ทำให้เกิดเมนูใหม่ๆ
ซึ่งนั่นจะทำให้อาหารทางเลือกต่อสุขภาพมีโอกาสเติบโตขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่ม
“โปรตีนจากพืช” ซึ่งเริ่มมีตัวอย่างให้เห็นหลายชนิดเช่น โปรตีนจากถั่วลูกไก่ (chickpea) ซึ่งได้มีการนำไปผลิตเป็นอาหารหลากหลายรูปแบบ
เช่น แป้งจากถั่วลูกไก่ ซีเรียลถั่วลูกไก่ หรือเต้าหู้ถั่วลูกไก่
เช่นที่ก่อนหน้านี้เคยมีผู้บริโภคให้ความนิยมในการใช้แป้งจากดอกกะหล่ำ
นอกจากการพัฒนาอาหารทางเลือกจากวัตถุดิบใหม่ๆ
อย่างโปรตีนจากพืชแล้ว
การพัฒนาคิดค้นปรับเปลี่ยนรูปแบบเมนูอาหารเดิมไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจก็เป็นสิ่งสำคัญ
เช่น เดิมผู้บริโภคนิยมดื่มกาแฟในตอนเช้า แต่ในอนาคตกาแฟอาจจะไม่ใช่แค่เพียงเครื่องดื่ม
แต่อาจจะไปคิดค้นเป็นอาหารชนิดอื่นที่มีส่วนประกอบของกาแฟ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ๆ
ก็เป็นได้
หรือแม้แต่การพัฒนาสินค้าทางเลือกจากผลิตภัณฑ์เดิมๆ
จากวัตถุดิบใหม่ เช่น น้ำมันมะกอกอาจจะถูกลดทอนความสำคัญลง
เพราะมีการพัฒนาน้ำมันจากพืชอื่นที่ให้คุณค่าทางอาหารไม่แพ้กัน
ทำให้ได้รับความนิยมจนกระทั่งมียอดขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น น้ำมันจากผลวอลนัท
น้ำมันจากเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าการพัฒนานวัตกรรมอาหารตามเทรนด์เพื่อสร้างเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคจะเป็นสิ่งที่สำคัญ
แต่ประเด็นเรื่อง “คุณค่าทางโภชนาการ” ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคยุคใหม่จะใช้เป็นปัจจัยในการตัดสินใจ
โดยเฉพาะคุณค่าทางโภชนาการอาหารสำหรับเด็ก การนำวัตถุดิบใหม่ๆ
ที่ดีต่อเด็กมาใช้เป็นส่วนผสม เพิ่มความหลากหลายให้เมนู
นอกจากการให้ความสำคัญต่อคุณค่าทางโภชนาการต่างๆ
ของอาหารทางเลือกใหม่แล้ว ขณะนี้ผู้บริโภคทั่วโลกยังให้ความสนใจกับการสร้างค่านิยมการรักษาสิ่งแวดล้อมและกระแสรักษ์โลก
โดยมุ่งมองหาผลิตภัณฑ์หรือวิธีการที่จะใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหารให้คุ้มค่า เพื่อลดขยะจากอาหารให้เหลือน้อยที่สุด
ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ ผู้ผลิตอาหารไทยซึ่งมีความตั้งใจจะเป็น “ครัวของโลก” จำเป็นต้องเร่งปรับตัว หันมาพัฒนานวัตกรรมอาหารอนาคต เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งไม่เพียงจะต้องมีความหลากหลาย แต่ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เชื่อได้เลยว่าหากดำเนินการสำเร็จไม่เพียงจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมอาหารของไทย แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออกออกอาหารซุปเปอร์ฟู้ด ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 6-7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หรือราว 29,000-30,000 ล้านบาท ให้เพิ่มขึ้นไปอีกได้