แม้ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องดูอย่างไรก็ยังไร้ข้อยุติในปีนี้ แต่ภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ
ก็ยังคงมีโอกาสที่จะขยายตัวอยู่ในระดับ 2.5%-3.0%
กำลังการจับจ่ายใช้สอยยังมีการเติบโตระดับในหนึ่ง
ตลาดเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านในสหรัฐฯ เป็นตลาดสินค้าที่ยังมีช่องว่างที่ผู้ส่งออกไทยจะสามารถผลักดันสินค้าเข้าไปได้ โดยข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ระบุว่า ตลาดนี้มีมูลค่าประมาณ 259,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ และมีโอกาสขยายตัวค่อนข้างดี โดยเฉพาะกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ห้องนอนและห้องครัว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยในช่วง 7
เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.) 2562
ไทยส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไปสหรัฐฯ มูลค่า 4,142 ล้านบาท
ขยายตัวเพิ่มขึ้น 39.2%
เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1
ครองสัดส่วน 19.16%
ของการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ภาพรวมซึ่งมีมูลค่า 21,616
ล้านบาท
โดยปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคสหรัฐจะเน้นการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้น
ประมาณ 30%
เทียบกับการซื้อขายในช่องทางออฟไลน์ที่จะมีประมาณ 70%
อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์ว่าในอีก 4
ปี ข้างหน้า หรือในปี 2566
สัดส่วนการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์จะเพิ่มขึ้นเป็น 40%
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาดเฟอร์นิเจอร์สหรัฐยังมีโอกาสทำได้ แต่จำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคโดยผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อนำไปใช้พัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ รวมถึงใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการเจาะเข้าถึงลูกค้า
"WAYFAIR" เป็นตัวอย่างผู้ให้บริการอี- คอมเมิร์ช ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคสหรัฐฯ บริษัทสัญชาติอเมริกันรายนี้ก่อตั้งขึ้นมานานกว่า 17 ปี แล้ว ในนามบริษัท CSN Stores เป็นผู้จำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้านที่ได้มีผู้ผลิตสินค้าในเชลฟ์มากกว่า 10,000 ราย ปัจจุบันมีสาขาและคลังสินค้าไว้ให้บริการทั่วสหรัฐ และยังขยายอาณาจักรไปถึงแคนาดา และเยอรมนีอีกด้วย
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในยุคนี้
ผู้ผลิตที่มีจุดแข็งด้านความหลากหลายและมีบริการจัดส่งรวดเร็วจะได้เป็นกลุ่มที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการสูงสุด
ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้ง Amazon, Overstock, Houzz รวมถึง
Wayfair ด้วย โดยตลอดระยะเวลา 17
ปี Wayfair
พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จในการครองใจผู้บริโภคสหรัฐฯ
ด้วยรายได้ยอดขายประมาณ 7,000
ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 2561
ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไร 1,500
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กลยุทธ์ความสำเร็จในการเป็นผู้ให้บริการของ Wayfair
ซึ่งถือเป็นคีย์ซัคเซสสำคัญที่ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ต้องมีคือ
การสร้างสรรค์แบรนด์สินค้าทางเลือกเพื่อให้เหมาะกับ "ไลฟ์สไตล์" ของลูกค้า
หรือ Lifestyle Brands ซึ่ง
Wayfair มีแบรนด์สินค้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลายถึง
5 แบรนด์แล้ว
และเสริมด้วยบริการและการอำนวยความสะดวกต่อลูกค้า เช่น บริการคัดสรรสินค้าที่มีความต้องการเฉพาะ
หรือ Hashtag Home Shop
อีกด้านหนึ่ง คือ Wayfair จะใช้ระบบการขนส่งทางเรือ ไม่มีสินค้าเป็นของตัวเอง แม้ว่าสินค้าที่เสนอขายจะเป็นรายการเดียวกับกับคู่แข่ง แต่ "ราคา"แตกต่างกัน เพราะใช้วิธีการขนส่งมาจากโรงงาน คลังสินค้าของผู้นำเข้า ส่งตรงไปยังผู้บริโภค ด้วยระบบการจัดการคลังสินค้า และอาศัยกลยุทธ์การกำหนดราคาโดยประเมินจากจากปัจจัยต่างๆ เช่น การแข่งขัน ฤดูกาล หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นระบบที่แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ชนิยมใช้กัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ชทำให้
Wayfair ต้องสร้างจุดต่าง
และเสริมแกร่งในช่องทางใหม่ๆ โดยในเร็วๆนี้ Wayfair
เตรียมเปิดให้บริการร้านค้าปลีกถาวร
แห่งแรกขึ้นในห้างสรรพสินค้า Natick Mall ในเมือง
Natick รัฐ Massachusetts
ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัท
ได้ทดลองเปิดร้านป็อบอัพช็อป และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงของการทดลอง
จึงเตรียมขยายสาขาป็อบอัพช็อปเพิ่มอีก 4
แห่งด้วย
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจจะเข้าร่วมเป็นซัพพลายเออร์พาร์ทเนอร์ของ
Wayfair สามารถติดต่อผ่านทางเว็บไซต์บริษัทรวมถึงการติดต่อผ่านทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงพาณิชย์ในการแนะนำข้อมูล
ลุย "อี-คอมเมิร์ซจีน" เอสเอ็มอีก็ทำได้