World Economic Forum (WEF) จัดอันดับว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ
5 ของโลก รองจากสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และเยอรมนี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
รัฐบาลอินเดียยังคงคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังอยู่ที่ 5% จากภาพรวม 3
ไตรมาสที่ผ่านมาขยายตัว 4.7%
และด้วยความที่ขนาดตลาดอินเดียที่มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน และชนชั้นกลางถึง 300 ล้านคน ทำให้หลายประเทศมุ่งมองถึงโอกาสการค้าและการลงทุนกับอินเดีย ทั้งกลุ่มภูมิภาคอาเซียนและพันธมิตร 6 ประเทศ ที่เร่งผลักดันอินเดียร่วมลงนามความตกลงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภูมิภาค (RCEP) รวมถึงไปมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่ ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" เลือกอินเดียเป็นประเทศแรกในการเปิดฉากความสัมพันธ์การค้าในปี 2563 ท่ามกลางการระบาดของเชื้อโควิด-19
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐ-อินเดียนั้น
"สหรัฐฯ" ถือเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของอินเดียรองจากจีน
มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 92,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แต่ที่ผ่านมาสหรัฐและอินเดียต่างดำเนินนโยบายคล้ายกันคือการดึงดูดการลงทุน
เพิ่มการจ้างงาน และปกป้องผลประโยชน์เกษตรกร และเอสเอ็มอีในประเทศ ผ่านนโยบาย make
in India และ American first
นอกจากนี้ ในการประกาศสงครามการค้าของสหรัฐ
ไม่ใช่เพียงแค่กับจีนเท่านั้น แต่สหรัฐฯ ยังใช้มาตรการภาษีกับอินเดียด้วย โดยการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม
ซึ่งอินเดียก็ไม่น้อยหน้าใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐประมาณ 28 รายการ เช่น ถั่ว
อัลมอนด์ แอปเปิล ฯลฯ เพื่อเป็นการตอบโต้เช่นกัน
ดังนั้นการหารือระหว่าง 2 ประเทศครั้งนี้มีจุดน่าสนใจ โดยเฉพาะการประกาศร่วมกันจัดทำความตกลงทางด้านการค้าระหว่างกัน โดยมุ่งเน้นขยายมูลค่าการค้าและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้าเป็นประเด็นหลัก นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นอำนวยความสะดวกเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานวิชาชีพระหว่างกันด้วย เนื่องจากอินเดียมีจุดแข็งในด้านบุคลากรสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ IT และซอฟต์แวร์ต่างๆ จึงต้องการให้แรงงานวิชาชีพสามารถเข้าไปทำงานในสหรัฐฯ สะดวกมากยิ่งขึ้น
โอกาสการค้าไทย-อินเดีย
ในส่วนของการค้าระหว่างไทย-อินเดียนั้น
แม้ว่าจะต้องพลาดหวังจากการที่อินเดียประกาศไม่ร่วมลงนามความตกลง RCEP
ที่จะมีขึ้นในปี 2563 แล้ว แต่ทว่าสินค้าที่ไทยส่งออกไปอินเดีย
ยังพอมีโชคดีอยู่บ้าง
เพราะนอกจากจะเป็นสินค้าคนละกลุ่มกับสินค้าที่สหรัฐขึ้นภาษีแล้ว
ไทยยังสามารถใช้การลดภาษีเพื่อไปยังตลาดอินเดีย โดยผ่านความตกลงการค้าเสรี
(เอฟทีเอ) ไทย-อินเดียที่ได้ลดภาษีสินค้าระหว่างกันไป 84 รายการ และเอฟทีเออาเซียน-อินเดีย
เป็นเครื่องมือสำรองที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบการส่งออกสินค้าและบริการไปที่อินเดียได้
และสุดท้ายก็ต้องมาลุ้นว่า
ความท้าทายเศรษฐกิจอินเดียในปีนี้จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ผสมกับกระแสการปกป้องการค้าทั่วโลก จะเป็นอุปสรรคในการส่งออกไปยังตลาดใหญ่ที่มีมูลค่าการส่งออก
7,332.55 ล้านเหรียญสหรัฐ นี้หรือไม่
ขณะที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ
กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย แนะนำให้ผู้ส่งออกที่มีศักยภาพ มุ่งส่งออกสินค้าเป้าหมายที่เติบโตได้ดี
เช่น เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์
เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์
รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหาร เพื่อตอบสนองลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคชนชั้นกลางกว่า 300 ล้านคน และเสนอให้มุ่งมองหาโอกาสเจาะลึกลงไปยังกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น กลุ่มวัยทำงาน สุภาพสตรีที่เป็นแม่บ้าน หรือแม้แต่กลุ่มผู้ชาย และกลุ่มมิลเลเนียล ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงในอินเดีย
นอกจากนี้ไทยควรมองถึงโอกาสการลงทุนในธุรกิจบริการท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ภัตตาคาร สปา บริการให้คำปรึกษา อสังหาริมทรัพย์ การให้เช่าพื้นที่ ให้คำปรึกษาออกแบบก่อสร้างตกแต่งภายใน ธุรกิจบริการ และธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจที่อินเดียให้นักลงทุนสามารถถือหุ้นได้ 100% หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม กระแสรักษ์โลก รวมถึงพลังงงานสะอาดซึ่งก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ยังมีโอกาสอีก