เปิดเทรนด์ Industry 5.0 ยุคที่คนต้องทำงานร่วมกับหุ่นยนต์
โลกปัจจุบันถูกเร่งด้วยเทคโนโลยี ดังนั้นการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วคือกลไกสำคัญในการทำธุรกิจในยุคนี้และในอนาคต
และขณะที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเรารับทราบถึงกระแสอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนให้ตลาดแรงงานต้องปรับบทบาทให้มีทักษะสอดคล้องไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี
รวมทั้งการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคนี้ อาทิ
1. ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์
การคิดเชิงลึก
2. ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์
3. ทักษะการแก้ไขปัญหา
4. ทักษะความคิดสร้างสรรค์
5. ทักษะการทำงานร่วมกับสังคม
6. ทักษะทางอารมณ์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ดังนั้นอุตสาหกรรม 4.0
เป็นยุคที่ระบบการผลิตถูกบูรณาการเข้ากับเครือข่าย IoT (Internet
of Things) ซึ่งส่งผลให้ระบบการผลิตสินค้าเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีดิจิทัล
และยังมีการใช้ AI มาช่วยให้ระบบการผลิตเกิดความสะดวก
รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิม
ซึ่งหากมองมุมนี้
เทคโนโลยีใหม่บางอย่างที่จะสร้างโอกาสจากแนวโน้มเทคโนโลยี
ที่จะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ไม่ว่าจะเป็น AI และ Machine Learning, IoT ,Big
Data ,บล็อกเชน ,Cloud & Edge Computing, Robot, ยานยนต์ไฟฟ้าและอากาศยานยนต์ไร้คนขับ, 5G, Genomics
& Gene Editing และคอมพิวเตอร์ควอนตัม
สิ่งเหล่านี้จะปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันและในยุคอนาคต
ทำให้ในขณะนี้มีการนำแนวคิด ‘Industry 5.0’ ที่กล่าวว่า คือยุคที่คนทำงานโดยเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีและผนวกกับการทำงานร่วมกับ
AI และ Machine Learning ซึ่งรูปแบบของอุตสาหกรรม
4.0 นับเป็นก้าวสำคัญไปสู่ Industry 5.0 ที่สอดรับการทำงานระหว่างคนกับเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์
โดยที่ Industry 4.0 มีการวางรากฐานสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์
กับเครื่องจักร ตลอดจนการเชื่อมต่อระหว่างโรงงานโลจิสติกส์การจัดการซัพพลายเชนและผู้ใช้ปลายทาง
นอกเหนือจากชิ้นส่วนเหล่านี้แล้ว Industry 5.0
ยังรวมเอาความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และความแม่นยำของหุ่นยนต์เข้าด้วยกัน เพื่อหาทางออกที่ไม่เหมือนใครซึ่งจะเป็นที่ต้องการของทศวรรษหน้าร่วมกัน
อุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 ได้สร้างแผนงานที่อุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตามเพื่อที่ยั่งยืนหรือการก้าวสู่ยุค
‘Personalize Autonomous Manufacturing’
สำหรับเรื่องของอุตสาหกรรม 5.0
ถือเป็นสิ่งที่หลายๆ ฝ่ายต่างให้ความสนใจ โดยมีการประเมินว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า
อุตสาหกรรมภาคการผลิตจะมีความแตกต่างจากโรงงานในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งหากเราได้เปรียบเทียบกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคที่ผ่านๆ มา
เราจะพบว่าความแตกต่างนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ ก็คือ เครื่องจักร เทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และหุ่นยนต์
อุตสาหกรรม 5.0 แรงงานคนจะปรับอย่างไร
สำหรับมิติด้านแรงงาน เป็นไปได้ว่าการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีขั้นสูง
การเพิ่มขึ้นของจำนวนหุ่นยนต์ จะนำมาซึ่งประเด็นทางจิตวิทยาใหม่ ความสับสนใหม่
และการเรียนรู้ที่จะต้องทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ นอกจากนี้
ชนิดของหุ่นยนต์ที่พนักงานอยากจะร่วมงานด้วย ระหว่าง Machine Learning และ Rule-Based Robots จะกลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ
เนื่องจากหุ่นยนต์ทั้งสองชนิดนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเองที่ต่างกัน
ขณะเดียวกันการจัดการทรัพยากรมนุษย์สำหรับองค์กร
อาจจะต้องระบุว่างานแบบไหนควรจะถูกรับผิดชอบโดยหุ่นยนต์หรือมนุษย์
และงานแบบไหนเหมาะกับหุ่นยนต์รุ่นใด กล่าวคือ ความสำคัญและความรับผิดชอบของฝ่ายนี้จะกว้างและสูงขึ้น
โดยฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จะได้รับมอบหมายให้ทำการจัดหาและดูแลรักษาหุ่นยนต์ในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นองค์กรอาจจะต้องก่อตั้ง
“ฝ่ายหุ่นยนต์” ขึ้นมาเพื่อพัฒนาและรักษาความปลอดภัย
โดยเฉพาะเรื่องของการรักษาความลับข้อมูลที่จะซับซ้อนขึ้นอีกมาก
ด้านสังคมมนุษย์อาจจะพบเจอกับบรรทัดฐานและจริยธรรมใหม่
ซึ่งจะแตกต่างไปจากแค่การคาดหวังให้ทุกคนทำงานหนักและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ไปสู่สิ่งที่ได้รับผลกระทบมาจากการที่หุ่นยนต์นั้นมีความเสียสละ
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีความขี้เกียจ และโกหกไม่เป็น
ด้วยเหตุนี้ ข้อถกเถียงในสังคมจะยังคงเกิดขึ้น
เนื่องจากบางกลุ่มจะสนับสนุนการใช้หุ่นยนต์เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมมนุษย์ เพราะว่าจะไม่ทำให้เกิดภาวะการณ์ตกงานและรู้สึกว่าถูกคุกคาม
แต่บางกลุ่มยังคงต้องการให้มีหุ่นยนต์ที่จะสามารถทดแทนตำแหน่งพนักงาน เพื่อที่จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของมนุษย์
คิดใหม่ …หุ่นยนต์จะสำคัญกว่าคนจริงหรือ?
คนมักจะคิดว่าหุ่นยนต์กำลังจะมามีบทบาทแทนที่แรงงานมนุษย์
แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับอุตสาหกรรม 5.0 ความเชื่อเหล่านี้อาจจะเกินจริงไปบ้าง
เพราะสุดท้ายแล้วหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ
ก็ไม่สามารถเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
รวมถึงยังจะมีงานหรืออาชีพใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
เนื่องจาก 20-80%
ของระบบงานที่นำเอาเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้นั้น
ยังไม่สามารถทำได้ด้วยระบบอัตโนมัติแบบ 100%
ซึ่งหมายความว่าแม้จะมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายระบบการทำงานสักเพียงใด
สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็ยังต้องทำงานควบคู่ไปกับหุ่นยนต์อยู่ดี
และยังเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพงานอีกด้วย
รวมถึงมุมมองที่ว่า
ผู้บริโภคในอนาคตอาจจะต้องการสินค้าที่มนุษย์มีส่วนร่วม หรือมนุษย์สัมผัส (Human Touch) ดังนั้นในอุตสาหกรรมยุค 5.0 แม้ว่าการผลิตสินค้าจะเป็นการผลิตในครั้งละมากๆ
และราคาต่ำ แต่มีความเป็นไปได้มากเช่นกันว่า บทบาทของมนุษย์จะเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น
ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อันเป็นการตอบโจทย์ค่านิยมอย่างหนึ่งของผู้บริโภคในยุคนั้น
ซึ่งเห็นได้ว่าจากแนวคิดต่างๆ
เหล่านี้อาจจะไม่ใช่บทสรุปสำหรับการมองภาพอนาคตสำหรับ Industry 5.0 เสียทีเดียว
แต่ก็เปิดมุมมองสำหรับผู้ประกอบการให้มีการวิเคราะห์ภาพอุตสาหกรรมในอนาคต
และอาจไม่ได้มองถึงความเป็นไปได้ด้านเดียวที่จะเกิดขึ้น
เพราะแม้ว่าเราจะอยู่ในยุคที่สังคม
เศรษฐกิจ สิงแวดล้อม
และพฤติกรรมผู้บริโภคถูกแรงขับของเทคโนโลยีเร่งเร้าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ
ด้าน ทว่าที่สุดแล้วเมือถึงจุดหนึ่ง ‘คน’ ต้องเผชิญกับความท้าทายและแรงกดดันจากเทคโนโลยี กฎ ข้อบังคับ
ตลอดจนถึงเรื่องจริยธรรมในการทำธุรกิจระหว่างแรงงานคนและหุ่นยนต์
จะมีประเด็นที่ต้องพิจารณามากขึ้น และถึงตอนนั้นอาจจะถึงจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีอีกครั้ง
คือจุดที่คนอาจเริ่มต่อต้านหุ่นยนต์และโหยหาความดั้งเดิมมากขึ้น
แต่ถึงที่สุดแล้ว ใครจะตอบได้ว่า อีก
10 -15 ปีข้างหน้าโลกจะเป็นอย่างไร
แหล่งอ้างอิง :