ความร่ำรวยเป็นสุดยอดความปรารถนาของมนุษย์โลกที่ไม่ได้มาได้โดยง่ายจากการนั่งอยู่เฉยๆ
โดยไม่ผ่านการลงมือทำสิ่งใด ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วความสำเร็จด้านทรัพย์สินเงินทองมักจะมาพร้อมกับการรู้จักหา
เก็บไว้ และนำไปใช้ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำธุรกิจหรือเล่นหุ้น ล้วนเป็นหนทางสู่ความสำเร็จทางการเงินได้ทั้งสิ้น
ด้วยการลงทุนเป็นการแสวงหาผลกำไรจากการเงินที่งอกเงยในระยะยาว โดยมีผลกำไรมาหลอกล่อและมีความเสี่ยงเป็นเดิมพัน
ดังนั้นทุกการลงทุนจึงไม่ทำให้ประสบความสำเร็จร่ำรวยได้ตามที่คาดหวัง เพราะไม่ใช่ทุกคนไปที่จะมีความสามารถในการหาเม็ดเงินมาลงทุน หรือแม้แต่มีเงินลงทุนก็ไม่ได้เห็นผลสำเร็จโดยง่าย ด้วยการลงทุนต่างๆ ต้องเกิดขึ้นอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจภายใต้ 7 เคล็ดลับที่เศรษฐีส่วนใหญ่ใช้ในการเริ่มต้นลงทุน เพื่อปูทางสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย ดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. เมื่อไม่มีเงินลงทุนจงเริ่มจากการแบ่งเก็บ การเก็บเงินเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างเงินลงทุนส่วนตัว เศรษฐีกว่าครึ่งในเมืองไทย
เริ่มต้นเส้นทางที่นำพาเขาไปสู่ความร่ำรวยด้วยการเก็บเงินเพื่อสร้างเงินก้อน
แล้วนำเงินก้อนมาลงทุนเพื่อให้ได้เงินก้อนโตขึ้น โดยแบ่งเป็นเงินก้อนที่ใช้ในการลงทุนระยะสั้นและการลงทุนระยะยาว
2. ก่อนจะไปลงทุนทำอะไรควรมีบ้านให้นอนเล่นได้ก่อน
หัวใจสำคัญของการทำให้ทุกๆ การลงทุนนั้นนำไปสู่ความสำเร็จ คือการสร้างพื้นที่ให้ชีวิตตัวเองบนโลกนี้ได้มีอิสระ
ในการเดิน นอน กิน เล่น ในพื้นที่ของตัวเองได้อย่างเสรีก่อน ดังนั้นการปูทางสร้างทรัพย์สิน
อันดับแรกที่ต้องมีก็คือ ‘บ้าน’ บ้านจึงเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อนรถ
เพื่อให้พื้นที่บ้านนั้นเป็นที่นอนพักผ่อนได้อย่างสบายใจ การมีบ้านก่อนจึงทำให้เกิดความสบายใจและรู้สึกเหมือนมีที่หลบภัยอยู่ในโลกใบนี้
ซึ่งเมื่อคนเรามีความสบายใจเกิดขึ้นก็จะมีความสามารถในการเพิ่มพูนทรัพย์สินขึ้นมาได้เอง
ภายใต้เงื่อนไขของการซื้อบ้านนั่น คืออยู่ในขอบเขตของยอดเงินที่สามารถผ่อนชำระได้ตลอดรอดฝั่ง
บนพื้นที่ทำเลที่เป็นเหตุผลสัมพันธ์กัน เช่น อยู่ใกล้ที่ทำงาน อยู่ในย่านที่คาดว่าจะสามารถขายบ้านเกร็งกำไรต่อได้
เพราะการซื้อบ้านของเหล่าเศรษฐี นอกจากจะทำให้เกิดความสบายกายในการอยู่อาศัยแล้ว พวกเขายังซื้อบ้านอยู่อาศัยแบบคาดหวังถึงผลกำไรในอนาคตด้วย
3. ลงทุนด้านความรู้ทางการเงิน เป็นการปูทางความสำเร็จที่เศรษฐีใช้กัน
โดยการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน ผ่านข่าวเศรษฐกิจประจำวัน ทำให้เห็นทิศทางของดอกเบี้ย
ค่าของเงิน ราคาทอง ราคาหุ้นและการซื้อขายในวงการอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งเป็นการปูทางความคิดและการกระทำไปสู่การลงทุนทางการเงินได้อย่างถูกจุด
ทำให้เกิดความรู้ที่สามารถคาดการณ์สิ่งต่างๆ ผ่านการวิเคราะห์ จากพื้นความรู้ที่มี
ก่อนจะเดินลงสนามการลงทุนได้อย่างมั่นใจ
4. รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างผองเพื่อน
ความเป็นเพื่อนเป็นสิ่งที่ต้องรักษาเก็บไว้
เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าเพื่อนคนไหนจะมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเราในอนาคต
โดยที่จะต้องไม่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนเพื่อหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ด้วยความสัมพันธ์แบบนี้จะไม่ทำให้เกิดความสำเร็จได้ง่ายเท่าความสัมพันธ์ที่มาจากสายใยความรักความผูกพันจากใจจริง
ด้วยเพื่อนบางคนอาจนำมาซึ่งโอกาสการลงทุนทางการเงินที่เปลี่ยนชีวิตเราไปได้ตลอดกาล
ผ่านข้อมูลการลงทุนต่างๆ ที่เขามี รวมไปถึงความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างเพื่อน
ไม่ว่าเราจะไปช่วยเหลือเขาหรือเขาช่วยเหลือเรา ล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งการเกื้อกูลที่อาจส่งผลอย่างเป็นธรรมชาติต่อชีวิตและการลงทุนได้เสมอ
5. ลงทุนอย่างพลิกแพลง นอกจากข้อมูลความรู้ที่ต้องมีครบครันแล้ว การรู้จักหาโอกาส
และจังหวะให้กับการลงทุน คือสิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนและร่ำรวยได้
โดยมีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า “จงลงทุนเมื่อตอนที่คนอื่นหลบหนี” เช่น เขาซื้อจังหวะที่หุ้นตก
เศรษฐกิจทรุด สมาชิกอื่นๆ หรือคนอื่นๆ มีความลังเลใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการลงทุนแบบพลิกแพลง
ที่ต้องมีการวิเคราะห์อย่างเฉียบขาด สามารถคาดการณ์และประเมินสถานการณ์สิ่งต่างๆ
ได้อย่างแม่นยำ จะทำให้การลงทุนแบบพลิกแพลงนี้ประสบความสำเร็จได้
6. เงินที่จะนำมาลงทุนต้องเป็นส่วนที่เหลือใช้
เงินที่จะนำมาลงทุนได้ต้องเป็นเงินที่แยกออกมาจากค่าใช้จ่ายต่างๆ
ในชีวิตประจำวันและไม่ใช่เงินที่ยืมมา เพราะจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันไม่ราบลื่นและหากพลาดพลั้งในการลงทุนขึ้นมา
จะทำให้เกิดความเสียหายที่ยากต่อการแก้ปมให้หลุดได้ ฉะนั้นการลงทุนด้วยเงินเก็บออม
จะทำให้เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนมีสูงขึ้นมาก
และสร้างโอกาสให้การลงทุนนั้นปูทางสู่ความร่ำรวยได้
7. การลงทุนด้วยเงินกู้ต้องอยู่ในภาระที่รับผิดชอบได้ นอกจากการลงทุนด้วยเงินเก็บจะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินได้แล้ว การลงทุนด้วยเงินกู้ก็สามารถสร้างโอกาสความสำเร็จได้เช่นกัน หากภาระดอกเบี้ยหรืออัตราการผ่อนชำระนั้นอยู่ในขอบข่ายที่สามารถจัดการได้ และไม่ได้เป็นการกู้ยืมแบบขาดสติ เช่น การกู้มาลงทุนต่อยอดและขยายกิจการ โดยที่มีการคาดการณ์หรือเห็นผลกำไรที่คาดหวังแบบจับต้องได้ และอัตราการกู้ยืมหรือภาระเงินกู้ยืมนั้นไม่มากเกิน 50% ของทรัพย์สินที่ค้ำประกัน ตามกำลังความสามารถในการหาเงินมาหมุนเวียนในกิจการ ที่สามารถชำระคืนได้ในระยะเวลาอันสั้น นั่นคือความฉลาดในการกู้ยืมเงินมาลงทุน เพราะถึงอย่างไรก็ตามเงินกู้นั้นคือหนี้และมีราคาที่ต้องจ่ายเป็นดอกเบี้ยตามมาเสมอ
แหล่งอ้างอิง : คิม แด จุง. “My Dream Of Making The Billion Won”.สิรินาถ ศิริรัตน์ แปล.กรุงเทพฯ.สยามอินเตอร์บุ๊คส์.2552