รู้ใจพืช! ไขความลับ ‘ไอออนิค’ ผลิตปุ๋ยอย่างไร? ให้ประสบความสำเร็จส่งออก 30 ประเทศทั่วโลก

18 ปีกับความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ของบริษัท ไอออนิค จำกัด ผู้ผลิตปุ๋ยแบบครบวงจร (One Stop Service) ที่ต้องการผลิตปุ๋ยชั้นดี มีคุณภาพสูง เพื่อยกระดับสินค้าปุ๋ยไทยด้วยนวัตกรรม ผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานสากล ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด Sustainability ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งมอบสินค้าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั่วโลก 

คุณฝนธิป ศรีวรัญญู ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอออนิค จำกัด เล่าถึงธุรกิจที่ทำอยู่ว่า บริษัท ไอออนิค จำกัด ก่อตั้งที่แรกเมื่อปี 2547 ณ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันได้ขยายไปโรงงานไปที่จังหวัดนครปฐมด้วย เพื่อต้องการผลิตปุ๋ยแบบครบวงจร (One Stop Service) ผลิตและจำหน่าย ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี ปุ๋ยชีวภาพ สารปรับสภาพดิน ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรคและศัตรูพืช ทั้งชนิดเม็ด น้ำ และผง ด้วยนวัตกรรมการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ รู้ใจพืชมากที่สุด

คุณฝนธิป กล่าวว่า เรื่องนวัตกรรมถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญ ที่เป็นความโดดเด่นของ ‘ไอออนิค’ ซึ่งคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เหมาะกับพืชแต่ละชนิดโดยเฉพาะ เช่น จะปลูกทุเรียน บริษัทฯ จะนำดินในพื้นที่เพาะปลูกมาตรวจว่ามีแร่ธาตุใด และออกแบบสูตรปุ๋ยที่มีธาตุอาหารตรงตามความต้องการของพืชจริงๆ ในปริมาณที่พอดีและเหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ  

ซึ่งการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันทันสมัยมาผลิตปุ๋ย จะช่วยให้เกษตรกรได้ปุ๋ยที่ตรงกับความต้องการของพืชจริงๆ อาทิ การสร้างเม็ดปุ๋ย 3 ชั้นที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ ชั้นจุลินทรีย์ ชั้นธาตุอาหารปลดปล่อยช้า และชั้นธาตุอาหารปลดปล่อยเร็ว การพอกผิวเม็ดปุ๋ยด้วยเทคโนโลยี HCC ทำให้คุณภาพเพิ่ม 16.8% (สูตรลับเฉพาะปุ๋ยไอออนิค ตรานกอินทรีคู่) เพื่อยึดตรึงธาตุไนโตรเจนไม่ให้สูญเสียไปในอากาศ ทำให้พืชสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้เพิ่มมากขึ้น

สำหรับขั้นตอนการผลิตนั้น วัตถุดิบที่บริษัทฯ นำมาเผื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์ จะใช้กากเหลือใช้จากพืชที่เป็นของเสียจากโรงงานผลิตอาหารต่างๆ เช่น กากนม กากสัปปะรด และใช้ระบบ Digital มาช่วยในเรื่องความแม่นยำ ร่วมกับเทคโนโลยีการเคลือบและใส่จุลินทรีย์ โดยขั้นตอนผ่านการวิจัยและใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการผลิตอย่างมีมาตรฐาน

‘ไอออนิค’ ยังมีธุรกิจรับกำจัดกากของเสียจากการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นธุรกิจต่อเนื่องของการทำปุ๋ยอินทรีย์ โดยจะมีระบบการจัดการแปรสภาพของเสียมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นวัตถุดิบผลิตปุ๋ย นำมาผ่านกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยจุลินทรีย์ (Micro Organism) ภายใต้การจัดการด้วยระบบ TWS Technology ตรวจสอบคุณภาพด้วยห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการวิเคราะห์ค่าคุณสมบัติวัตถุดิบ โดยทำงานภายใต้ระบบ ISO/IEC 17025 ซึ่งเป็นแนวคิดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก่อเกิด Circular Supply Chain เนื่องจาก ‘ไอออนิค’ นำทรัพยากรที่เหลือจากกระบวนการผลิตของบริษัทอื่น มาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เปลี่ยนกากต่างๆ ที่ต้องกำจัดมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย

คุณฝนธิป กล่าวถึงความโดดเด่นอีกประการหนึ่งของ ‘ปุ๋ยไอออนิค’ คือ การมีห้องแล็บเพื่อการคิดค้น วิจัยของตนเองโดยเฉพาะ ทำให้ง่ายในการพัฒนา ค้นคว้านวัตกรรมใหม่ๆ โดยปุ๋ยจะผ่านการตรวจสอบคุณภาพ 9 ขั้นตอน โดยทีม QC (Quality Control) ของบริษัท ตั้งแต่การตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบไปจนถึงคุณภาพสินค้าก่อนจัดส่ง

ทั้งนี้ ไอออนิค ได้เล็งเห็น Pain Point ของเกษตรกร คือปุ๋ยอินทรีย์ปลดปล่อยสารอาหารช้า ทำให้พืชออกผลผลิตไม่ทันต่อความต้องการ ดังนั้น ‘ไอออนิค’ จึงคิดค้นสูตรปุ๋ยที่ลดการใช้สารเคมีแต่ตอบสนองความต้องการของเกษตรกรได้ คือ ธาตุอาหารต้องครบถ้วน โดยมีธาตุหลักคือ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P), โพแทสเซียม (K) หรือเรียกสั้นๆ ว่า NPK และในส่วนธาตุอาหารต่างๆ ที่อยู่ในดินก็จะค่อยๆ ย่อยสลาย ให้พืชได้ดูดซึมนำไปใช้

ซึ่ง ‘Ionique’ ได้คิดค้นสูตรที่ทำให้ปุ๋ยที่เป็นอินทรียวัตถุ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับปุ๋ยเคมี ที่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้ ด้วยการสกัดสารที่จำเป็นต่อพืชและดินแต่ละชนิด เป็นหัวใจสำคัญ ในการผลิตปุ๋ยของ ‘ไอโอนิค’

ในเรื่องนี้ คุณฝนธิป เผยว่า จากการที่ ‘ไอออนิค’ มีผู้ร่วมทุนทั้งหมด 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย (90%), ออสเตรเลีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จึงมีการนำเทคโนโลยีจากทั้ง 4 ชาติมาใช้ ผนวกกับการมีโรงงานผลิตปุ๋ย 3 แห่ง ทำให้ ‘Ionique’ มีความแข็งแกร่ง จนปัจจุบันถือได้ว่ามีกำลังการผลิตปุ๋ยอินทรีย์สูงที่สุดในประเทศ 

นอกจากนี้ ‘ปุ๋ยไอออนิค’ ยังได้รับคัดเลือกเป็นบริษัทปุ๋ยเพียงรายเดียวที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล โดยการร่วมลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), สำนักงานนวัตกรรรมแห่งชาติ (NIA) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักคือ ต้องการให้เกษตรกรไทยลดการใช้ปุ๋ยเคมี โดยการนำวัตถุดิบและทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

คุณฝนธิป กล่าวว่า ‘ไอออนิค’ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยกระดับมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นจนได้รับการรับรองมาตรฐานสากลระดับโลก ISO 9001:2015 จาก Lloyd’s Register Quality Assurance และมาตรฐาน ISO/IEC 17025 สำหรับมาตรฐานห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรองมาตรฐานอีกมากมาย อาทิ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ IFOAM มาตรฐาน Q (Quality) และมาตรฐาน HALAL 

คุณฝนธิป เผยถึงอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญของ ‘ไอออนิค’ ก็คือ การผลิตปุ๋ยแบบครบวงจร (One Stop Service) ซึ่งเป็นการปรับตัวในการทำธุรกิจจากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมา เมื่อลูกค้าเดินมาหาเราแม้เริ่มจากศูนย์ เพียงบอกความต้องการว่าอยากได้ปุ๋ยแบบไหน นอกจากอินทรีย์แล้วยังผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีและเคมีด้วย ซึ่งต้องรู้ว่าเหมาะกับพืชชนิดใด บริษัทก็สามารถตอบโจทย์ได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเครื่องหมายการค้า ขึ้นทะเบียนสูตรปุ๋ย ออกแบบบรรจุภัณฑ์ รวมถึงเป็นที่ปรึกษาในการเพิ่มผลผลิต และการวางแผนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ จนผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

ปัจจุบัน ‘ไอออนิค’ ดำเนินธุรกิจ 6 ช่องทางก็คือ

1. การรับจ้างผลิตปุ๋ยมากกว่า 100 แบรนด์ (OEM) และพัฒนาสูตรให้ (ODM) มากกว่า 500 สูตร

2. สร้างแบรนด์ของตัวเอง (ปุ๋ยตรานกอินทรีคู่)

3. บริษัทมี Partner ทำอีก 1 แบรนด์ไปจำหน่ายในร้านค้าปุ๋ยทั่วประเทศ

4. การขายถึงผู้บริโภคโดยตรง

5. การขายออนไลน์

6. การส่งออกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก อาทิ แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม

เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยทั้งหมดนี้มีสัดส่วนการจำหน่ายแบบ OEM, ODM 70% และการขายในช่องทางต่างๆ 30% 

‘ไอออนิค’ มีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด Sustainability ที่สอดรับกับนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจเกษตรอินทรีย์ในระดับโลก และมุ่งเน้นให้องค์กรมุ่งบริหารงานด้วยแนวคิด Sustainability

จากการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผลิตปุ๋ย ผนวกกับการบริหารธุรกิจด้วยแนวคิด Sustainability ส่งผลให้บริษัท ไอออนิค จำกัด เติบโตต่อเนื่องกลายเป็นผู้ผลิตปุ๋ยแถวหน้าของเมืองไทย ประสบความสำเร็จสามารถส่งออกกว่า 30 ประเทศ ที่ยังไม่ยอมหยุดนิ่งในการวิจัยและพัฒนาคุณภาพปุ๋ยให้ดียิ่งขึ้น เพื่อขยายและเปิดตลาดใหม่ๆ ในอนาคต ตอบทุกโจทย์ความต้องการพืชทั่วโลก