เมื่อพูดถึง ‘กระแสรักษ์โลก’ หลายคนมักจะนึกถึงเสื้อผ้า Fast Fashion เป็นอันดับแรก ส่วนหนึ่งเพราะได้มีการรณรงค์มาอย่างยาวนาน แต่อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามทั้งหลายที่มีอัตราการเติบโตมากขึ้นทุกปี มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.18 แสนล้านบาท ทำให้กลุ่มตลาดความงามเกิดการแข่งขันทั้งในเรื่องของการผลิต บรรจุภัณฑ์ และการตลาดที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป กลุ่มธุรกิจความงามในหลากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเองกำลังสร้างเทรนด์ความงามอย่างยั่งยืนมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตลาดความงามกับสิ่งแวดล้อม
ตลาดความงาม
เป็นตลาดหนึ่งที่สะท้อนถึงการเลือกซื้อสินค้าตามความพึงพอใจของผู้บริโภคไม่ต่างจากตลาดเสื้อผ้า
หากเทียบแล้วคงแทบไม่ต่างกับ Fast Fashion โดยเฉพาะสาวๆ คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในแต่ละปีเราจะมีผลิตภัณฑ์จำพวกสกินแคร์
เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามที่ต้องทิ้ง
(ทั้งแบบหมดอายุหรือใช้หมดแล้ว) เยอะขนาดไหน องค์กร Zero Waste จึงได้ศึกษาและเปิดเผยรายงานว่า ในแต่ละปีอุตสาหกรรมความงาม จะสร้างขยะจากเฉพาะบรรจุภัณฑ์ออกมามากกว่า
1.2 แสนล้านชิ้น
โดยขยะส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้
ในช่วง 10
ปีที่ผ่านมานี้หลากหลายแบรนด์ทั่วโลกจึงได้พัฒนาและแก้ไขปัญหาเรื่องเหล่านี้
ผ่านไปไม่นานองค์กรสำรวจเทรนด์ทั่วโลก Mintel ได้ออกมาเพิ่มกระแสรักษ์โลกให้วงการความงามเพิ่มเติมอีกว่า ตลาดความงามกับสิ่งแวดล้อม
หรือที่เรียกกันว่า ‘ตลาดความงามอย่างยั่งยืน’ สามารถไปด้วยกันได้ดี
และได้รับความนิยมมากในหมูชาวยุคมิลเลนเนียลหัวใจสีเขียว นี่จึงเป็นเหตุผลว่า
ทำไมตลาดความงามถึงควรเริ่มหันมาสนใจกลยุทธ์ความงามอย่างยั่งยืนกันบ้าง
กลยุทธ์ตลาดความงามอย่างยั่งยืน
1) บรรจุภัณฑ์
ปัญหาหลักที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้น
บรรจุภัณฑ์ ยิ่งในยุคที่ผ่านมามีการแข่งขัน จนเกิดการสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ซับซ้อนยากจะนำมารีไซเคิลหรือนำมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง
ก่อให้เกิดขยะมากมาย บางแบรนด์จากในบางประเทศ จึงเริ่มต้นที่จะหันมาใส่ใจในเรื่องของบรรจุภัณฑ์มากขึ้น
เช่น Aveda ที่ทำบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล, The
Body Shop ใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิลได้
และมีการสร้างสรรค์มาสก์ชีตที่ปกติใช้แล้วทิ้งสามารถย่อยสลายเองได้
ทำจากไม้ในป่าทดแทน ฯลฯ โดยสรุปแล้วจะเน้นไปในเรื่องของการใช้วัสดุรีไซเคิลหรือเลือกใช้วัสดุย่อยสลายได้มาผลิตบรรจุภัณฑ์
ทั้งนี้อาจจะเน้นรณรงค์โดยให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมอื่นๆ
ด้วย เช่น นำบรรจุภัณฑ์ไปใส่แปรงหรือปลูกต้นไม้, ทำกิจกรรมร่วมกับแบรนด์
โดยมอบส่วนลดการสั่งซื้อในอนาคต
เมื่อลูกค้าใช้สินค้าหมดแล้วนำไปล้างและกลับมาแยกเตรียมให้แบรนด์รีไซเคิลต่อไป ฯลฯ
2) นวัตกรรมการผลิต
ในหลากหลายแบรนด์ได้เริ่มโครงการและแข่งขันชิงรางวัล
เพื่อตามหาแนวคิดสร้างสรรค์สำหรับการหาวิธีกำจัดพลาสติกจากอุตสาหกรรมความงามมากขึ้น
เพื่อให้แบรนด์สามารถก้าวไปได้พร้อมกับการฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อม เช่น
ยูนิลีเวอร์ร่วมกับองค์กรพันธมิตรกำลังทำงานร่วมกัน เพื่อพัฒนาเครื่องมือ Circulytics ใหม่ของ Ellen MacArthur เพื่อกำจัดวัสดุและทรัพยากรที่สิ้นเปลืองตลอดกระบวนการผลิตเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์
ในเรื่องของการผลิตเนื้อผลิตภัณฑ์
ได้เริ่มมีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับ ACULYN™
Siltouch Rheology Modifier เป็นวิธีที่ทำให้ส่วนผสมต่างๆ สามารถรวมตัวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในอุณหภูมิห้อง
โดยที่ไม่ต้องใช้ความร้อนหรือพลังงานสูง ลดโอกาสปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกระบวนการผลิต
3) สูตรส่วนผสม
สารเคมีและสารอื่นๆ
บางตัวในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ
อาจก่อให้เกิดการเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้ บางแบรนด์จึงได้เลือกทำสูตรแบบออร์แกนิค
หรือคำนำสูตรเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรกอย่าง LUSH รวมถึงไม่เคยทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์ หลีกเลี่ยงการใช้ส่วนผสมที่เป็นอันตราย
ลดของเสียและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้มีการรณรงค์ถึงขั้นออกเป็นข้อบังคับเพื่อแบนไม่ให้มีการใช้สารเหล่านั้น
เช่น เม็ดไมโครบีตส์ ซึ่งเป็นพลาสติกขนาดจิ๋ว
เมื่อมีการใช้สบู่ที่มีสารเหล่านี้เกิดการตกค้างแล้วไหลไปเรื่อยๆ จนถึงมหาสมุทร
ก่อให้เกิดจุลินทรีย์ในน้ำ ส่งผลให้เกิดมลพิษและการปนเปื้อนสารพิษในห่วงโซ่อาหาร
อุตสาหกรรมความงามโดยรวมกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
แล้วผู้ประกอบการในไทยไปจนถึงผู้บริโภคอย่างพวกเราหละ
จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเพื่อความสวยของตัวเองและโลกได้ก้าวไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนได้หรือยัง?