ส่อง พ.ร.บ. ลดโลกร้อน ฉบับแรกของไทย สู่เป้าหมาย Net Zero รับมือวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Part 1)

ESG
24/06/2024
รับชมแล้วทั้งหมด 7106 คน
ส่อง พ.ร.บ. ลดโลกร้อน ฉบับแรกของไทย สู่เป้าหมาย Net Zero รับมือวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Part 1)
banner
เมื่อสภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกวัน คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ประเมินว่า ถ้าทั่วโลกจะบรรลุเป้าหมายไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5- 2 องศาเซลเซียส จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างน้อย 22% ในปี ค.ศ. 2030 เทียบกับปี ค.ศ. 2015 ทำให้ทั้งโลกต้องลดก๊าซเรือนกระจก อย่างเร่งด่วน ซึ่ง พ.ร.บ. Climate Change หรือ  พ.ร.บ. ลดโลกร้อน ฉบับแรกของไทย จะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนให้ไทยสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ได้อย่างไร? แล้วมีอุตสาหกรรมอะไรบ้าง? ที่ได้รับผลกระทบและต้องเร่งปรับตัว Bangkok Bank SME รวบรวมข้อมูลไว้ให้ในบทความนี้แล้ว ไปดูกันเลย



ทำไม? ต้องปล่อย ก๊าซเรือนกระจก เป็นศูนย์


เราทุกคนคงรู้สึกได้ว่า ‘โลกใบนี้ร้อนขึ้นทุกวัน’ จากรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติ (WMO) ชี้ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกต่อปี มีโอกาสเพิ่มขึ้นเกิน 1.5°C ภายใน 5 ปีข้างหน้า ถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึกมา และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของเมืองและเศรษฐกิจโลก

ทำให้ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ก็จะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น เมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือน้ำแข็งในขั้วโลกเหนืออย่างกรีนแลนด์ และขั้วโลกใต้แอนตาร์กติกา ละลายเร็วขึ้น 6-7 เท่า เมื่อเทียบกับ 25 ปีก่อน และน้ำแข็งกรีนแลนด์ได้หายไปถึง 4,700 ล้านตัน มีส่วนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 1.2 เซนติเมตร ขณะที่อุณหภูมิของกรีนแลนด์พุ่งสูงถึง 15 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าปกติถึง 5 องศา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ๆ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะที่ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ประเมินว่า ถ้าทั่วโลกจะบรรลุเป้าหมายไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5- 2 องศาเซลเซียส จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG)  ให้ได้อย่างน้อย 22% ในปี ค.ศ. 2030 ทำให้ทั้งโลกต้องลด GHG อย่างเร่งด่วน



สำหรับประเทศไทย แม้จะกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานทั่วประเทศในปี 2565 ยังสูงถึง 247.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเพิ่มขึ้น 1.5% จากปี 2564 จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการร่าง พ.ร.บ. Climate Change เพื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนให้ไทยสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065

โดยประเทศไทย มีการตั้งเป้าไว้สอดคล้องกัน โดยปัจจุบันกว่า 33.2% ในการขับเคลื่อนมาจากความพยายามและกลไกภายในประเทศเอง และอีก 6.8% คือการเงินระหว่างประเทศ และอื่น ๆ อาทิ มาตรการกลไกซื้อขายคาร์บอนตามความตกลงปารีส

ทั้งนี้ จึงจำเป็นต้องอาศัยความพยายามและความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนผ่าน (Transition) ไปสู่เป้าหมาย Net Zeroให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความสมดุลของโลกให้กลับมาอีกครั้ง



ทำไม? ไทย ต้องมี พ.ร.บ. ลดโลกร้อน

สำหรับ ‘กฎหมายลดโลกร้อน’ มีชื่อเป็นทางการว่า ‘พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ฉบับแรกของประเทศไทย ที่ใกล้จะออกมาภายในปีนี้ มีสาระสำคัญ คือการควบคุมเพื่อไม่ให้เกิดกิจกรรม หรือการดำเนินธุรกิจที่สร้างมลภาวะและปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่มากเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอย่างจริงจัง และมีบทลงโทษที่หนักเอาการเลยทีเดียว

ล่าสุด ‘พ.ร.บ. ลดโลกร้อน’ ฉบับดังกล่าว เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้น หลังจบสิ้นกระบวนการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (Public Hearing) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งต่อจากนี้ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กระทรวงทรัพย์ฯ (ทส.) จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทันภายในกลางปี 2567 นี้



พ.ร.บ. ลดโลกร้อน สำคัญอย่างไร?

พ.ร.บ. ลดโลกร้อน ถือเป็นกฎหมายสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
- สร้างความมั่นคงทางพลังงาน การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น จะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ
- กระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน จะสร้างงานใหม่และกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ปกป้องสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะช่วยลดปัญหาโลกร้อน ปกป้องระบบนิเวศ และรักษาคุณภาพอากาศ
- ยกระดับคุณภาพชีวิต การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะช่วยลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน



อะไร? คือ สาระสำคัญใน พ.ร.บ. ลดโลกร้อน 

สำหรับสาระสำคัญของ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน จะมุ่งเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่

1. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ผ่านกลไกต่างๆ เช่น การกำหนดมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคต่างๆ สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมการใช้ประสิทธิภาพพลังงาน และพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ

2. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม พายุรุนแรง ผ่านการจัดทำแผนงานและมาตรการรองรับ

3. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน: ส่งเสริมให้ประชาชน ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ยังมีเรื่องของกองทุน เพื่อนำไปสร้างโครงสร้างให้ทุกภาคส่วนได้ใช้กองทุนในช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น  ผู้ประกอบการ SME หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการดำเนินการตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น รวมทั้งต้องมีการรายงานข้อมูลซึ่งเป็นส่วนสำคัญกับกลไกราคาคาร์บอน เพื่อให้ภาครัฐได้มีข้อมูลไปใช้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การวางแผนที่ เจาะลึก และมีความละเอียดมากขึ้น ทำให้มองภาพระยะไกลได้ชัดเจนมากขึ้น 

โดยในส่วนของการลดก๊าซเรือนกระจก ให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจัดทำฐานข้อมูลในภาพรวมของประเทศ

ร่าง พ.ร.บ. ลดโลกร้อน 14 หมวด มีอะไรบ้าง

สำหรับการผลักดันการออกกฎหมายลดโลกร้อน ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งกรมสรรพสามิต และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ มาประกอบให้รอบด้านก่อนนำเสนอ ครม. 

สำหรับ "ร่างกฎหมายโลกร้อน" มีทั้งหมด 14 หมวด ได้แก่

1. การรับรองสิทธิของประชาชน และกำหนดการมีส่วนร่วมของแต่ละภาคส่วน เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารทั้งในมิติของการลดก๊าซเรือนกระจกและความเสี่ยงต่อภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ โดย Data Center ของกรมร่วมมือกับทาง Climate Center ทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
2. เป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยแต่ละหน่วยงานกำหนดเป้าหมายและแผนให้สอดคล้องบูรณาการเป้าหมายกับภารกิจของตนเอง
3. คณะกรรมการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) บูรณาการในการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับ พ.ร.บ. นโยบาย มาตรการ และการดำเนินงาน
4. กองทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 
5. แผนแม่บทรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมทั้งสถานการณ์เป้าหมายแนวทางการเนินงาน ตลอดจนการติดตามผล
6. ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเอกชน จัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศและส่งข้อมูลผ่านรายงานแห่งชาติไปยัง UNFCCC เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดก๊าซเรือนกระจก
7. แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก กำหนดแนวทางการดำเนินงาน ของหน่วยงานรัฐให้สอดคล้องกับเป้าหมายและแผนแม่บท
8. ระบบการซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนเครดิต เพื่อให้มีมาตรการภาคบังคับในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสูง
9. ระบบภาษีคาร์บอน เก็บภาษีและค่าธรรมเนียมคาร์บอนจากผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงฟอสซิลภาคคมนาคมขนส่ง ภาคการใช้ไฟฟ้า และจากผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ซึ่งดำเนินการโดยกรมสรรพสามิต เพื่อลดการปล่อยและปัญหาการรั่วไหลของก๊าซเรือนกระจก
10. คาร์บอนเครดิต กลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตการกำกับดูแลภายในและระหว่างประเทศ รวมถึงการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการธุรกิจคาร์บอนเครดิต 
11. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะในระดับจังหวัดและพื้นที่ชุมชน ทั้งการให้ข้อมูลและก่อให้เกิดองค์ความรู้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
12. มาตรการการส่งเสริมการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนแก่หน่วยงานของรัฐองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นและการศึกษา
13. มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
14.บทกำหนดโทษป้องกันยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำฝ่าฝืนมาตรการบังคับ อาทิเช่น การจงใจรายงานข้อมูลเท็จ ฝ่าฝืนระบบซื้อขายสิทธิ และบทบัญญัติเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต 



ใครได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ. ลดโลกร้อน บ้าง?

หลังจากนี้ จะมีกลไกต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในเวทีระหว่างประเทศ กลไกทางการค้าจะมีมากขึ้น เช่น มาตรการ CBAM  (Carbon Border Adjustment Mechanism) ตัวอย่างหนึ่ง เป็นมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ขณะที่ อเมริกา จีน แคนาดา ก็มีแนวคิดในเรื่องเหล่านี้เช่นกัน

โดยภาคอุตสาหกรรมไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงใน 14 อุตสาหกรรมที่มีมูลค่า 6.5 ล้านล้านบาท หรือ 37% ของ GDP จะต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการประเมิน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อย GHG และระบบภาษีคาร์บอน

โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ที่อยู่ใน EU-CBAM ภายในปี ค.ศ. 2026 (พ.ศ. 2569) ประกอบด้วยภาคขนส่ง สาธารณูปโภค โลหะและอโลหะ มีมูลค่าอุตสาหกรรมรวม 1.71 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10% ของ GDP

ระยะที่ 2 อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะอยู่ใน EU-CBAM ระยะที่ 2 ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยางและพลาสติก การขุดเจาะปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ เหมืองถ่านหิน และ กระดาษและเยื่อกระดาษ มีมูลค่าอุตสาหกรรมรวม 1.77 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10% ของ GDP

ระยะที่ 3 อุตสาหกรรมในประเทศอื่น ๆ ที่มีการปล่อย GHG เข้มข้นสูง ประกอบด้วยเกษตรและปศุสัตว์ อาหารและเครื่องดื่ม คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า มีมูลค่าอุตสาหกรรมรวม 3.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 17% ของ GDP 



บทลงโทษ ธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตาม จะเป็นอย่างไร?

สำหรับบทกำหนดโทษ ตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับปรับปรุงใหม่ 1 มี.ค. 2567 มีดังนี้

- ผู้ใดไม่จัดเก็บหรือรายงานข้อมูลกิจกรรมภายในระยะเวลาที่กำหนดในหนังสือแจ้งเตือนโดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องชำระค่าระวางโทษปรับทางปกครองตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
- ผู้ใดจงใจรายงานข้อมูลอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อมูลอันพึงรายงาน เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดต้องชำระค่าระวางโทษปรับทางปกครองตั้งแต่ 30,000 - 300,000 บาทและปรับอีกวันละไม่เกิน 3,000 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติถูกต้อง
- บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการพิจารณาค่าปรับทางปกครอง มีอำนาจออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองตามอัตรา หลักเกณฑ์ และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

อย่างไรก็ดี คาดว่าร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว จะต้องใช้ระยะเวลา 1 - 2 ปี เพื่อพิจารณาในรายละเอียด แต่ผู้ประกอบการควรรีบดำเนินการ โดยเริ่มจากการตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทั้งในองค์กร และผลิตภัณฑ์เป็นอันดับแรก ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวมข้อมูล โดยผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปแสดงในรายงานของกิจการ หรือแสดงในฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของกิจการตนเองได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องยอมรับว่า จากภาวะโลกร้อนที่ว่าหนักแล้ว วันนี้กลายเป็น ‘โลกเดือด’ จึงจำเป็นต้องอาศัยความพยายามและความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนผ่าน (Transition) ของทั้งโลกไปสู่เป้าหมาย NET ZERO ให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความสมดุลของโลก ให้กลับมาอีกครั้ง

ในบทความตอนต่อไป เราจะมาดูกันว่า ‘พ.ร.บ. ลดโลกร้อน’ฉบับแรกของไทย และมีผลดีต่อผู้ประกอบการ SME หรือไม่ และควรเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร เมื่อ ‘พ.ร.บ. ฉบับนี้ ถูกนำมาออกมาบังคับใช้ ไปสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อรับมือวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ติดตามได้ในตอน ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร? เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายลด ก๊าซเรือนกระจก ให้เป็นศูนย์ (Part 2)

อ้างอิง
https://shorturl.at/oBDKZ
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ










Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

Supply Chain ปรับตัวอย่างไร? กับนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) สู่ Net Zero (Part 2)

Supply Chain ปรับตัวอย่างไร? กับนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) สู่ Net Zero (Part 2)

บทความก่อนหน้านี้ เราได้กล่าวถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำทั่วโลกและในประเทศ มีการกำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว หรือ Green Procurement…
pin
29 | 27/12/2024
ส่อง! บริษัทใหญ่ ใช้ 4 แนวทาง สร้าง Green Supply Chain ชวนคู่ค้า สร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน (Part 1)

ส่อง! บริษัทใหญ่ ใช้ 4 แนวทาง สร้าง Green Supply Chain ชวนคู่ค้า สร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน (Part 1)

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ธุรกิจจะยั่งยืนไม่ได้ หากขาดการจัดหาวัตถุดิบ สินค้า บริการ และกระบวนการผลิตที่ดี ดังนั้นการผลิตสินค้าที่สอดคล้องกับแนวโน้ม…
pin
36 | 21/12/2024
โลกร้อนรุนแรงขึ้น อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย จะเปลี่ยนผ่าน (Transition) สู่ความยั่งยืนได้อย่างไร

โลกร้อนรุนแรงขึ้น อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย จะเปลี่ยนผ่าน (Transition) สู่ความยั่งยืนได้อย่างไร

อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากภาษีคาร์บอนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับต้น ๆ นั่นคือ อุตสาหกรรมการเกษตร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง…
pin
46 | 11/12/2024
ส่อง พ.ร.บ. ลดโลกร้อน ฉบับแรกของไทย สู่เป้าหมาย Net Zero รับมือวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Part 1)