สินค้า Non-Dairy Yogurt เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร แก้ปัญหาล้นตลาด
กระแสการบริโภคสินค้าโยเกิร์ตของคนทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็น “อาหารว่าง” สามารถรับประทานได้ระหว่างวัน
อีกทั้งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ มีการรับประทานอาหารไม่ค่อยเป็นมื้อๆ เช่น
อาหารเช้ากลางวัน-เย็น แต่อาจรับประทานน้อยมื้อในแต่ละวัน หรือเลือกที่จะรับประทานอาหารว่างแบ่งออกเป็นหลายๆ
มื้อตลอดทั้งวัน ซึ่งโยเกิร์ตก็เป็นหนึ่งอาหารว่างที่ได้ถูกนำมาเติมเต็มในช่องว่างของอาหารมื้อต่างๆ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เพราะโดยมุมมองของผู้บริโภค ‘โยเกิร์ต’ เป็นอาหารแม้จะไม่ใช่มื้อหลัก หรือใช้เป็นเครื่องจิ้ม (Dipping Sauce) ที่รับประทานร่วมกับผัก ผลไม้ ซึ่งมีแตกต่างจากกลุ่มของกินเล่น (Snack) โดยในปัจจุบันผู้บริโภคได้ให้ความสนใจในการอ่านฉลากสินค้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน จะอ่านและศึกษาถึงข้อมูลส่วนประกอบวัตถุดิบ และมักจะหลีกเลี่ยงสินค้าที่สัดส่วนของน้ำตาลสูง หรือใช้สารปรุงแต่งอื่นๆ (ที่ไม่ใช่มาจากสารธรรมชาติ)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้สินค้าประเภท Greek Yogurt ที่ปราศจากน้ำตาล เน้นผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติล้วนๆ ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยมองว่าเป็นหนึ่งทางเลือกของอาหารเพื่อสุขภาพ นอกจากเป็นโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาลแล้ว ยังมีอัตราสารโปรตีนสูงอีกด้วย
จากข้อมูลบริษัท Nielson ที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูล พบว่ายอดจำหน่ายกลุ่มสินค้าโยเกิร์ต ปัจจัยเสริมมาจากที่คนส่วนใหญ่อยู่บ้านมากขึ้นจากวิกฤติโควิด 19 ทำให้มีการบริโภคสินค้าประเภทของกินเล่นมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่น่าสนใจจากการเก็บข้อมูลสินค้าโยเกิร์ต พบว่าสินค้า Non-dairy Yogurt (กลุ่มสินค้าโยเกิร์ตที่ไม่ใช้นมวัว) มีอัตราขยายตัวสูงถึง 79.1% ถึงแม้ว่ายังเป็นตลาดที่เล็กอยู่ แต่ก็เป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพอย่างมาก อาทิ โยเกิร์ตกระทิ โยเกิร์ตถั่วแอลมอนต์ โยเกิร์ตถั่วหิมพานต์ ฯลฯ
ในอดีตกลุ่มที่นิยมสินค้า Non-dairy Prodcut จะเป็นคนกลุ่มมังสวิรัติ (Vegan)
หรือกลุ่มคนแพ้สารแลคโตสในนมวัว (Lactose Intolerance) เท่านั้น แต่ด้วยกระแส Plant Based Protien ทำตลาดหลักที่เป็น Mainstream ได้เริ่มมาเปิดรับสินค้า
Non-Dairy Yogurt มากขึ้น อีกทั้งสินค้า Non-Dairy Yogurt ก็มีรสชาติที่ใกล้เคียงกับโยเกิร์ตที่ผลิตจากนมวัวอีกด้วย อาทิ Coconut
Yogurt ที่อ้างว่ามีความนุ่มผิวสัมผัส (texture) ที่ใกล้เคียงกับโยเกิร์ตทั่วไป ที่คนส่วนใหญ่อาจหันมาบริโภค Non-Dairy
Product มากขึ้นในอนาคต
รวมทั้งจากพฤติกรรมรักสุขภาพของคนส่วนใหญ่จะหันมาบริโภคเนื้อสัตว์
แป้ง น้ำตาลน้อยลง หลีกเลี่ยงสารปรุงแต่งอาหาร หันมาบริโภคผักผลไม้หรือของสดๆ
มากขึ้น ปัจจุบันสินค้าโยเกิร์ตได้กลายเป็นสินค้าที่คนส่วนใหญ่หันมารับประทานเป็นอาหารประจำวัน
มีติดตู้เย็นเกือบทุกบ้าน สามารถเป็นได้ทั้งอาหารเช้า ของหวาน หรืออาหารมื้อเล็กๆ
ระหว่างวันที่มีความหลากหลาย
ด้วยกระแสดังกล่าว ทำให้บรรดาผู้ผลิตเกิดการพัฒนาการของสินค้าในรูปแบบต่างๆ
รวมถึงสินค้า Non-Dairy Yogurt ซึ่งเป็นสินค้าโยเกิร์ตที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมของนมวัว
กระแส Plant-Based Protien ได้เร่งให้เกิดนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ
ออกมาสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นโยเกิร์ตที่ผลิตจากธัญพืช ผลไม้ ถั่ว มะพร้าว ฯลฯ
ทั้งนี้มองในมุมการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรไทย
ซึ่งมีวัตถุดิบชั้นดีจากมะพร้าว ถั่ว ผลไม้ หรือแม้แต่ข้าวของไทย สามารถพัฒนาสินค้าโยเกิร์ตทางเลือกได้
หรือการส่งเสริมสินค้าผลไม้แปรรูปแช่แข็ง (Frozen Fruit) ที่โหนกระแสไปกับสินค้าโยเกิร์ต อาทิ โยเกิร์ตปั่น Smoothie ผสมผลไม้แช่แข็งไทย มะม่วง ลำไย มังคุด ทุเรียน เป็นต้น ซึ่งทุกวันนี้คนทั่วโลกรู้จักคุ้นเคยแค่ผลไม้ไทยมากขึ้น
อีกทั้งยังเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาผลไม้ล้นตลาด สามารถยืดอายุสินค้าในรูปแบบแช่แข็งที่เก็บได้นานถึง
1-2 ปี ที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าผลไม้ไทยอย่างยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
เมื่อผู้บริโภคต้องการอาหารที่มีนวัตกรรมและปลอดภัย
ดันน้ำปลา ปลาร้า สมุนไพรไทยเจาะตลาดแคนาดา