ตลาดส่งออกมะพร้าวหลักของไทย คือ
"จีน" ซึ่งครองสัดส่วนประมาณ 40-50%
โดยในช่วง 9 เดือนแรก 2563 มีมูลค่า 2,828 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปี 2562 มูลค่า 2,653 ล้านบาท สะท้อนว่าตลาดมะพร้าวของจีนเติบโตขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจโลก
อาจจะเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เลยก็ว่าได้
ที่สำคัญในปีนี้ทิศทางตลาดมะพร้าวในจีนมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นอีก
เนื่องจากผลผลิตมะพร้าวลดลง โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกมะพร้าวส่วนใหญ่ของจีน
ซึ่งจะอยู่ที่มณฑลไห่หนาน มีประมาณ 250,000 ไร่
และให้ผลผลิตราว 240 ล้านลูกต่อปีการผลิต
แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวได้รายได้ลดลง ผลจากปัญหาราคาผลผลิตที่ลดลงต่ำมากทำให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำหากเทียบกับสินค้าเกษตรชนิดอื่น เกษตรกรจึงหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแทน ด้วยเหตุนี้จะทำให้ผลผลิตมะพร้าวของจีนมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ซึ่งการจะหันกลับมาปลูกมะพร้าวอีกครั้ง จะต้องใช้เวลาประมาณ 7-8 ปี จึงจะให้ผลผลิต
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผลพวงจากปริมาณมะพร้าวที่ลดลงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
เป็นแรงผลักดันให้ราคามะพร้าวในจีนปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2563 ราคารับซื้อลูกละ 4-5 หยวน หรือประมาณ 18-23 บาท จากที่ผ่านมาเคยรับซื้อที่ลูกละ 0.8-1 หยวน
หรือประมาณ 3.70-4.67 บาท
ขณะที่ราคาขายปลีกมะพร้าวในตลาดเขตเมืองลูกละ 8-10 หยวน หรือประมาณ
37-46 บาท ส่วนราคาขายปลีกมะพร้าวสดในสถานที่ท่องเที่ยวลูกละ
15-20 หยวน หรือประมาณ 70-93 บาท
(สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซียเหมิน ประเทศจีน)
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดมะพร้าวในจีนคึกคักมาก
เป็นผลจากครึ่งปีแรกมีการจัดกิจกรรมไลฟ์สด เพื่อส่งเสริมการขายของแพลตฟอร์ออนไลน์
ประกอบกับผลผลิตมะพร้าวลดลง โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ตุลาคมของทุกปี จะไม่ใช่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตออกสู่ตลาด
และที่สำคัญในปีนี้เกิดภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้เกิดปัญหาด้านการส่งมอบ โดยเฉพาะจากแหล่งนำเข้าหลัก คือ อาเซียน
ซึ่งมีการนำเข้าปริมาณ 2,500 ล้านลูกต่อปี ดังนั้นจีนจึงเกิดปัญหาขาดแคลนมะพร้าว
อย่างไรก็ตาม
จากปัญหาการขาดแคลนมะพร้าวทำให้พื้นที่ปลูกมะพร้าวหลักอย่างไห่หนาน
โดยเฉพาะเมืองเหวินชางได้เร่งเพิ่มผลผลิต โดยประกาศเปิดตัวโครงการสวนมะพร้าว
พัฒนามะพร้าวสายพันธุ์ Wenchang
No.3 หรือ จินเย (แปลว่ามะพร้าวทองคำ) ที่ได้พัฒนาต่อยอดมาจากพันธุ์มะพร้าวของมาเลเซีย
ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากพันธุ์เดิม 40 ลูกต่อต้นต่อปี เป็น 120 ลูกต่อต้นต่อปี และได้ตั้งเป้าหมายว่าภายในระยะเวลา 3 ปี นับจากปี 2563
จะสามารถเพิ่มพื้นที่ปลูกมะพร้าวจาก 250,000 เป็น 300,000 ไร่
นอกจากการพัฒนาการผลิตมะพร้าวแล้ว
ภายในประเทศจีนได้พัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมมะพร้าว โดยการรวมตัวของผู้ประกอบการ 100 ราย ก่อตั้งสมาคมอุตสาหกรรมมะพร้าวไห่หนาน พัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้ขายโปรดักส์มะพร้าว
ทั้งต้น น้ำกะทิ กะลามะพร้าว ใยมะพร้าว และผลิตภัณฑ์อาหารจากมะพร้าวแปรรูป เป็นต้น
ดังนั้นในระหว่างนี้ผู้ผลิตและส่งออกมะพร้าวของไทยมีโอกาสที่อาศัยช่องว่างระหว่างการพัฒนา เพื่อขยายตลาดส่งออกมะพร้าวไปยังประเทศจีน ในระหว่างที่ผลผลิตของไห่หนานยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อการบริโภค และที่สำคัญรัฐบาลจีนได้อนุญาตให้สามารถนำเข้ามะพร้าวสดจากไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไต้หวันเท่านั้น ซึ่งในกลุ่มนี้จีนได้นำเข้ามะพร้าวสดจากไทยปริมาณมากที่สุด จากที่มะพร้าวไทยมีเอกลักษณ์ด้านรสชาติ โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมของไทยถือว่ายืนหนึ่งในตลาดจีนก็ว่าได้