ในปี 2562
คาดว่าฟิลิปปินส์จะกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวใหญ่ที่สุดในตลาดโลกสูงถึง
3 ล้านตัน หลังจากประเทศเปิดการค้าเสรีการนำเข้าข้าว และจะแซงหน้าจีนประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของโลกที่คาดว่าจะนำเข้าข้าว
2.5 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่
3.15 ล้านตัน
จากรายงานขิงสำนักงานทูตเกษตร กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (United Department of Agriculture – Foreign Agricultural Service – USDA-FAS) ที่ระบุว่าในปีนี้ฟิลิปปินส์มีการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลพวงจากการกฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ทำให้ปริมาณการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวทำให้ราคาข้าวในประเทศลดลง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ดีในปี 2563 คาดการณ์ว่าฟิลิปปินส์จะลดปริมาณการนำเข้าข้าวที่มากเกินไปลง
และจะหันมาปรับปรุงผลผลิตภายในประเทศ ทั้งนี้ ปริมาณการนำเข้าข้าวที่ลดลงอาจเป็นผลสะท้อนจากการเปิดไต่สวนขั้นต้นเพื่อใช้มาตรการ
Safeguard ซึ่งมีแนวโน้มที่น่าสนใจ คือ
ในปี 2562
(มกราคม - สิงหาคม) ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวรวม 2.33 ล้านตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามเป็น อันดับ 1 ปริมาณ 1.63
ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 70.28 ของการนำเข้าทั้งหมด
รองลงมาได้แก่ ไทย (ร้อยละ 13.85) และเมียนมา (ร้อยละ 8.49)
(ที่มา: Global Trade Atlas)
โดยแนวโน้มการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันสถานการณ์ตลาดข้าวภายในประเทศฟิลิปปินส์มีความอ่อนไหวสูง
เนื่องจากปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำ
ทำให้เกษตรกรชาวนาได้รับความเดือดร้อน
ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์พิจารณาจะใช้มาตรการสุขอนามัยที่เข้มงวดขึ้น
เพื่อชะลอการนำเข้าไม่ให้ส่งผลกระทบราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรชาวนาได้รับ
ดังนั้นการนำเข้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อาจจะมีการขยายตัวไม่มากนักตามที่ USDA คาดการณ์ไว้
อีกด้านที่น่าสนใจคือ ในอดีตฟิลิปปินส์การซื้อขายข้าวระหว่างกันในรูปแบบ
G to G เป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการเปิดเสรีนำเข้าข้าวโดยเอกชน
ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของข้าวไทย ทว่าปัจจุบันข้าวไทยมีราคาสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญเช่น
เวียดนาม ทำให้ไทยไม่สามารถช่วงชิงโอกาสดังกล่าวในการขยายการส่งออกมาฟิลิปปินส์ได้อย่างเต็มที่
ทั้งจากปัจจัยปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างเนื่อง ส่งผลให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้
ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิม และมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการเจาะตลาดใน ฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มข้าวคุณภาพดีและข้าวเพื่อสุขภาพของไทย เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวอินทรีย์ ข้าวกล้อง เป็นต้น เนื่องจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อในฟิลิปปินส์หันมาสนใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามมีข่าวดี คือ ล่าสุด นาย William D. Dar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์
ได้ยุติการไต่สวนเบื้องต้นเพื่อใช้มาตรการปกป้องการนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard
Measure) สําหรับสินค้าข้าว โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้แจ้งประกาศ
เปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการ Safeguard ต่อองค์การการค้าโลก
(WTO) เพื่อใช้มาตรการ Safeguard หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า
การนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน
โดยราคาข้าวเปลือกภายในประเทศฟิลิปปินส์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากการประกาศเปิดเสรีนําเข้าข้าวตามกฎหมาย
The Rice Tarification
ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้
สั่งการให้หน่วยงาน National Food Authority (NFA) ระบายข้าวที่นําเข้าปริมาณกว่า 3 ล้านถุงออกสู่ตลาด โดย
NFA คาดว่าจะสามารถรายงานผลการดําเนินการดังกล่าวต่อกระทรวงเกษตร
และมีแผนที่จะบังคับใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and
Phytosanitary Measure) เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสต็อกข้าวที่นําเข้าอีกด้วย