เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดเป็นอันดับ
3
ของโลกรองจากอินเดียและไทยโดยแต่ละปีมีผลผลิตข้าวปีละ 26-29
ล้านตันข้าวสาร และส่งออกประมาณ 6 - 6.5
ล้านตันข้าวสาร ไปยัง 150
ประเทศทั่วโลก มีรายได้จากการส่งออก 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามเดินหน้าปฏิรูปการผลิต เพื่อตอบสนองกับตลาดโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ซึ่งทำให้เวียดนามต้องพัฒนาตลาดข้าวในประเทศ และแสวงหาช่องทางการส่งออกเพิ่มขึ้น
ดูที่นโยบายของรัฐบาลเวียดนามมุ่งสู่การปฏิรูปกระบวนการผลิตและกำหนดปริมาณการผลิตข้าวที่เหมาะสมมีความจำเป็น
โดยหน่วยงานการเกษตรกาลังสรุปผลโครงการรักษาความมั่นคงด้านอาหาร
โดยจะพยายามลดพื้นที่ปลูกข้าว 3,125,000
ไร่ จากพื้นที่เกือบ 25 ล้านไร่ เพื่อปลูกพืชชนิดอื่นเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร
สำหรับกระบวนการปฏิรูปกระบวนการผลิตนั้น ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ การผลิต การแปรรูปและการตลาด โดยจะต้องให้ความสำคัญกับตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้น เพราะเวียดนามมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ซึ่งเป็นประชากรวัยทำงานถึง 33 ล้านคน และผู้ที่ใช้ชีวิตในเมืองคิดเป็นร้อยละ 40 จำเป็นต้องผลิตข้าวให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ควบคู่กับการลดพื้นที่ปลูกข้าว ตามแนวทาง พร้อมทั้งกำหนดยุทธศาสตร์การส่งออกข้าวของเวียดนามในระยะ 10 ปี (2021-2030) คือ การลดปริมาณการส่งออกลง แต่เน้นเพิ่มมูลค่าผ่านเครื่องหมายการค้าข้าวเวียดนาม “Vietnam Rice” แทน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
คล้ายชาวนาไทย ต้องฝ่าภัยแล้ง-ต้นทุนพุ่ง
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนาม
ระบุว่า ในปีที่ผ่านมาเกษตรกรเวียดนามประสบปัญหาภาวะขาดแคลนน้ำ
โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้าโขง (Mekong
Delta) ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวสาคัญของเวียดนามในจังหวัดเตี่ยนยางประสบภาวะขาดแคลนน้ำอย่างต่อเนื่อง
ทำให้เกษตรกรเวียดนามต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่นาข้าวมาปลูกข้าวโพดกว่า 12,500
ไร่ในฤดูเพาะปลูก ช่วงฤดูหนาว –
ฤดูใบใม้ผลิ
ทำให้เกษตรกรได้รับกำไรมากขึ้น 3.1 เท่า
โดยศูนย์การเกษตรกร (Agriculture
Extension Centre) จังหวัดเตียนยาง ได้พัฒนาเทคนิคปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตสูง
และส่งเสริมเกษตรกรให้มาปลูกข้าวปีละ 1 ครั้ง และปลูกข้าวโพดปีละ 2
ครั้งแทนการปลูกข้าวปีละ 3 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เกษตรกได้กำไรจากการขายต้นข้าวโพด
แต่ยังได้ซังข้าวโพดนำมาทำเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย
รศ.ดร. Tran
Dinh Thien อดีตผู้อานวยการสถาบันเศรษฐศาสตร์เวียดนามให้มุมมองว่า
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เวียดนามต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการเพาะปลูก
โดยหันไปปลูกพืชผักอื่นๆ หมุนเวียน รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
เพื่อลดความเสี่ยงจากการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวโดยเวียดนามควรหันมาพัฒนาการปลูกข้าว
เน้นพัฒนาคุณภาพมากกว่าเน้นเพิ่มปริมาณเริ่มจากการเลือกพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพสูง
และลดพื้นที่ปลูกข้าวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก
และลดต้นทุนการปลูก เช่น ค่าแรงงาน ปุ๋ย น้ำและน้ำมันลดลง
ขณะที่ ศ.ดร. Bui
Chi Buu อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ทางการเกษตรภาคใต้
กล่าวว่า การสร้างแบรนด์ข้าวเวียดนามจะต้องเริ่มจากการพัฒนาคุณภาพการผลิต รวมทั้งทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในมาตรฐานของข้าวเวียดนาม
โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งผลิตได้ ซึ่งเวียดนามต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตข้าวแบบแปลงใหญ่
(Large-scale rice field) เพื่อให้สามารถจัดการระบบการผลิตได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในระบบ Value
Chain สินค้าข้าวอีกด้วย
ขณะที่เกษตรกร “นาย Hai
Cau” เกษตรกรในเมือง
Go Cong จังหวัดเตียนยาง ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่
2,500 ตารางเมตรจากการปลูกข้าวไปเป็นข้าวโพดระบุว่า ที่ผ่านมาเขาปลูกข้าว 3
ครั้งต่อปี แต่ประสบปัญหาต้นทุนสูงขึ้น กำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่หลังได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นให้ปรับเปลี่ยนมาเพาะปลูกข้าวโพดเป็นพืชหมุนเวียน
ทำให้มีกำไรจากการปลูกข้าวโพดถึงกว่า 15 ล้านเวียดนามด่ง หรือ 646 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นจึงวางแผนจะเปลี่ยนจากการปลูกข้าวไปปลูกข้าวโพดในฤดูกาลต่อไป
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบระยะเวลาการปลูกข้าวโพดสั้นกว่าการปลูกข้าวทำให้เกษตรกรสามารถปลูกข้าวโพดได้ถึง
4 รอบต่อปี นอกจากนี้ ข้าวโพดยังเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้งได้ดีกว่า
สามารถปลูกในพื้นที่ที่มีน้ำน้อยได้