หลังการทำงานแบบ Work From Home ในช่วงแรกผ่านไป
มีแนวโน้มว่าจะมีหลายบริษัทนำมาปรับใช้กับการว่าจ้างพนักงานประจำแต่ให้ทำงานอยู่บ้าน
โดยใช้โปรแกรมและเทคโนโลยีเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการทำงาน เช่น ใช้ระบบโปรแกรม HR Online ที่มีกฎให้พนักงานเข้าไป Check In-Check Out ตามเวลาที่กำหนด,
มีการถ่ายรูปทีมผ่าน vdo call รายงานตัวทุกวัน/ตามเวลา เพื่อยืนยันตัวตนของพนักงานในทีม
รวมไปถึงการใช้โปรแกรมฝังพิกัดที่ตั้งของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบระบุ IP ที่ให้พนักงานนำไปใช้ทำงานที่บ้าน ทำให้สามารถตรวจเช็คได้ว่าพนักงานนั่งทำงานอยู่หน้าคอมเครื่องที่กำหนดจริงหรือไม่
และอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามารองรับการทำงานที่บ้านในอนาคตอันใกล้ต่อไป
ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าหากโรคโควิด-19 ยังคงอยู่บนผืนโลกนี้
ก็เป็นไปได้สูงมากที่เจ้าของกิจการในประเทศไทยจะมีการปรับรูปแบบการทำงาน/จ้างงานมาเป็นแบบ
Remote Working
ที่จะทำงานในสถานที่ไหน เวลาใดก็ได้อย่างมีอิสระในการใช้สถานที่ทำงาน
รวมถึงมีเวลางานที่ยืดหยุ่นตามขอบเขตความรับผิดชอบ โดยเน้นที่คุณภาพในการทำงานเป็นหลักแบบไม่ต้องอิงการเข้า-ออกลงเวลางานเหมือนการทำงานประจำแบบดั้งเดิม ภายใต้ความปกติรูปแบบใหม่หรือ “นิวนอร์มัล” (New Normal) ที่กำลังเข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ระบบการทำงาน แบบ Remote Working
“Remote Working” หรือ “การทำงานระยะไกล”
เป็นระบบการทำงานแบบพนักงานประจำออฟฟิศ ที่มีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องของเวลาและสถานที่ใช้ในการทำงาน
ภายใต้ความรับผิดชอบในบทบาทที่สูง โดยคนทำงานในรูปแบบนี้ต้องมีวินัยและความรับผิดชอบมากกว่าการทำงานในรูปแบบออฟฟิศ
และเป็นการทำงานที่คนทำงานต้องมีความรู้ความเข้าใจ เรื่องเทคโนโลยี อุปกรณ์ไอที และภาษาที่ดีพอตัว
ถึงจะสามารถตอบโจทย์การทำงานในรูปแบบนี้ได้สำเร็จสวยงามทั้งในฝั่งของคนทำงานและเจ้าของกิจการ
การทำงานแบบ Remote Working นั้นมีการใช้ในต่างประเทศกันมานานแล้ว
โดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ที่มีอายุกว่า 108 ปี ได้บริหารกิจการดูแลพนักงานกว่า
2 แสนชีวิตจากทุกสถานที่ทั่วโลก ภายใต้รูปแบบการทำงานแบบ Remote ซึ่งในประเทศไทยยังไม่ได้รับความนิยมแพร่หลาย
จนเมื่อพฤติกรรมของคนทำงานเปลี่ยนไป มีความต้องการความเป็นอิสระและความต้องการใช้พื้นที่แปลกใหม่
เพื่อความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการทำงาน
จึงมีหลายองค์กรที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นแบบรีโมท เพื่อรองรับคนทำงานยุคมิลลิเนียน
(Millennials) และนิวนอร์มัล (New normal) ที่เข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาสูงขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19
ที่แพร่กระจายทั่วโลก
ข้อดีที่ควรปรับสู่การทำงานแบบ Remote
1. มีการศึกษาพบว่าการทำงานแบบรีโมทที่มีความยืดหยุ่น
สามารถนำไปสู่การทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เพราะพนักงานรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนายจ้างของพวกเขาและทำงานอย่างหนักเพื่อเป็นการขอบคุณ
2. ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับออฟฟิศ เช่น ค่าเช่าสถานที่
ค่าตกแต่ง ค่าอุปกรณ์สำนักงาน วัสดุ-อุปกรณ์สิ้นเปลือง ค่าน้ำ-ไฟ กระดาษ ฯลฯ
ได้มากมาย ทำให้สามารถนำงบที่ต้องหมดไปกับการลงทุนในส่วนนี้ ไปใช้สร้างสวัสดิการกระตุ้นให้พนักงานเกิดแรงจูงใจในการทำงานให้อย่างเต็มที่
3. สามารถปรับออฟฟิศให้มีความทันสมัยในแบบที่ต้องการได้ง่าย ด้วยขนาดที่ลดลงจากเดิม
เพื่อเตรียมสถานที่ไว้รับรองลูกค้าหรือการเรียกประชุมพนักงานตามบางโอกาส
รวมถึงใช้ออฟฟิศเป็นจุดผ่านนัดพบในการทำงานแบบรีโมท
4. สามารถเข้าถึงคนเก่งได้ทุกทิศทั่วทุกมุมโลก
เพราะคนเก่งส่วนใหญ่จะพยายามเอาตัวเองออกนอกระบบการทำงานออฟฟิศ กินเงินเดือนประจำ
หากมีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาและสถานที่ไว้รองรับ การที่จะจับคนเก่งที่เหมาะสมต่องานที่ต้องการได้
ในอัตราค่าจ้างที่พึงใจได้จึงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะการทำงานแบบรีโมทก็ช่วยลดรายจ่ายเรื่องค่าเดินทาง
ค่าเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ได้เช่นกัน
5. เป็นระบบที่จะช่วยคัดกรองคนทำงานที่มีคุณภาพเหมาะสมต่อธุรกิจหรือองค์กร ทำให้ไม่ต้องเสียทรัพยากรหรือเวลาไปกับการพัฒนาคนที่ไม่พร้อม
เนื่องจากการทำงานแบบรีโมทนี้ต้องอาศัยคนที่มีทักษะการทำงานที่ตรงตามลักษณะงานและมีความรับผิดชอบสูง
ไปจนถึงมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและภาษา
ทำให้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการจัดการคนทำงานที่ไม่มีคุณภาพ หรือทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายขององค์กร
6. ได้ไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ อยู่เสมอ จากมันสมองคนทำงานที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของระบบ
กฎ กติกา สถานที่ การแต่งตัว หรือเวลางาน
ที่เป็นสิ่งสกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ
7. เป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้บริหารทรัพยากรบุคคล และการดำเนินกิจการที่อาจช่วยพัฒนาต่อยอดให้มีความพร้อมไปต่อในเศรษฐกิจดิจิตอล
(Digital
Economy) ได้อย่างเต็มรูปแบบ
8. เป็นทางเลือกที่คล่องตัวสำหรับกลุ่มธุรกิจ Startup และ SME ที่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างได้ง่าย
และเตรียมความพร้อมไว้ทางไว้พร้อมรับโลกแห่งอนาคต ที่พฤติกรรมของผู้คนเป็นตัวกำหนดรูปแบบ
และมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการทำตลาดและดำเนินกิจการ