สถานการณ์การส่งออกภาพรวมของประเทศไทยยังคงซบเซาต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากพิษของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ยังคงระอุ และจากปัจจัยหลักที่อัตราแลกเปลี่ยนไทยแข็งค่ากว่าปีก่อนและทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี การส่งออกสินค้าเกษตรตกที่นั่งลำบาก ยอดส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ลดลงกราวรูด ไม่เว้นแม้แต่ “ข้าว” พืชเศรษฐกิจของคนไทยก็ปรับลดลงไม่แพ้กัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แต่ทว่าในวิฤติมีโอกาส
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากภาพรวมการส่งออกข้าวของไทย โดยรายงานของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ระบุว่า ในช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) 2562 มีปริมาณ 5. 3 ล้านตัน ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 7,269,744
ตัน และมีมูลค่า 90,276.1 ล้านบาท (2,872.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ลดลง 23.1%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 117,342.6 ล้านบาท (3,684.6
ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ผลจากบาทแข็งทำให้ข้าวไทยแพง จากที่เคยส่งออกแลกได้ 31
บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ปีนี้เหลือเพียง 30 บาท ราคาข้าวไทยทะลุไปตันละ 1,200 เหรียญสหรัฐ
ห่างจากเวียดนามตันละหลายสิบเหรียญสหรัฐ
เมื่อวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียด พบว่า
ตลาดส่งออกข้าวหลักของไทยที่ติดลบ เช่น เบนิน ลดลง 5.7% ฟิลิปปินส์ ลดลง 58.2% แต่
"สหรัฐฯ" ผู้นำเข้าท็อป 3 ของไทยยังขยายตัว ถึง 14.2% มีปริมาณถึง 373,557 ตัน ถือเป็นตัวเลขเติบโตสวนทางภาพรวมการส่งออกข้าว
ที่สำคัญ “ตลาดสหรัฐ” ถือเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมบริโภค “ข้าวหอมมะลิ” ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกยอดนิยมท็อป 15 อันดับแรกของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ
และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ข้าวหอมมะลิของไทยครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1
คิดเป็นสัดส่วน 60% สะท้อนภาพความมั่นใจความนิยมขึ้นจากอดีต
โดยขณะนี้ผู้บริโภคสหรัฐฯ
สามารถเลือกซื้อข้าวและวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารไทยได้ทั้งในซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆ ทั่วประเทศ
เช่น วอลมาร์ท คอสโก้
แต่อีกช่องทางสำคัญทางหนึ่งที่ไทยใช้โปรโมตสินค้าข้าวและวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารไทย
คือ "ร้านอาหารไทย” โดยเฉพาะร้านอาหารไทยคุณภาพสูงที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย
“ไทยซีเล็ก" (Thai Select) เป็นแรงส่งให้ผู้บริโภคได้รู้จักและคุ้นเคยกับอาหารไทย
และเครื่องปรุงแบบไทยๆ
ทั้งนี้ ปัจจุบันจำนวนร้านอาหารไทยในสหรัฐ มีร้านที่ได้รับการรับรองเครื่องหมายนี้ เกือบ 450 แห่ง และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ปีละ 10% เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้าวหอมมะลิไทยจะครองแชมป์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเบอร์
1 แต่กลยุทธ์การขยายตลาดส่งออกข้าวหอมมะลิก็ยังเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
มอบให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมการค้าระหวางประเทศ ประจำสหรัฐฯ ซึ่งในปีนี้มีแผนทำการตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่
"เจน Z" หรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า
22 ปี ที่ไม่ค่อยรู้จักอาหารไทย เหมือนรุ่นพ่อแม่
เครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นตลาดข้าวหอมหอมมะลิไทยเน้นไปที่
สื่อสมัยใหม่ โดยการจัดทำชุด Rice
Edutainment ซึ่งแบ่งเป็น 3
แนวทาง คือ ดิจิทัลแอด โดยการดึงเชฟร้านไทยซีเล็ค มารับบทนักรีวิว หรือ Influencer ส่งต่อลงในในโซเซียลมีเดียทั้งเฟชบุ๊ค
อินสตราแกรม และยูทูป ได้ผลดีเกินคาด
ใช้แนวทางการแทรกซึมข้อมูลเข้าสู่บทเรียน
โดยนำเสนอวัฒนธรรมการผลิตข้าวไทยตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป
ไปจนถึงการวางจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ปลายทาง ผ่านเครื่องมือ “Google Expedition” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถสื่อการเรียนการสอนยุคใหม่
และสุดท้ายแนวทางการวีดิโอในยูทูป Cooking Tutorial เน้นเจาะกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคอาหาร
(Foody) ซึ่งกลยุทธ์หลักจะต้องเลือกเมนูอาหารที่ใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ
ซึ่งอาจจะเป็นอาหารไทย หรืออาหารตะวันตกก็ได้
อย่างไรก็ตาม
การพัฒนาสื่อยุคใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้เลย คือ การสร้างแบรนด์ไทย และรักษาคุณภาพอาหารไทยเพื่อครองใจผู้นำเข้า ซึ่งเป็นหัวใจของการทำการตลาดที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง