เค้าบอกว่ากินสะเดาให้อร่อยต้องกินช่วงต้นฤดูหนาว ดังนั้นตอนนี้ใครไปเดินตลาดสดคงได้เห็นสะเดาช่อโต งามๆ วางขายเต็มตลาด สะเดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีรสค่อนข้างขมคนรุ่นใหม่จึงไม่นิยมกินกัน แต่ภายใต้รสที่ขมนั้นกลับมีสรรพคุณทางยาอย่างมหาศาล โดยเฉพาะคุณผู้หญิงห้ามพลาด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แพทย์แผนไทยถือว่าสะเดามีประโยชน์ตั้งแต่ดอก
ใบ กิ่ง ก้าน ลำต้น เปลือก ไปจนถึงราก
ส่วนวงการแพทย์แผนปัจจุบันมีการวิจัยข้อดีและข้อเสียของสะเดาอย่างกว้างขวาง สำหรับยอดสะเดา
100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ พลังงาน 76 กิโลแคลอรี่, คาร์โบไฮเดรท 12.5
กรัม , โปรตีน 5.4 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใยอาหาร 2.2 กรัม, เบต้าแคโรทีน 3,611 ไมโครกรัม,
วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม, วิตามินบี 2 0.07 มิลลิกรัม, วิตามินซี 94 มิลลิกรัม,
แคลเซียม 354 มิลลิกรัม, เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม
สำหรับความลับอีกอย่างที่แอบซ่อนอยู่ในรสขมของสะเดา
คือ คุณประโยชน์มหาศาลในด้านความงาม สำหรับสาวๆ ที่อยากผิวสวยหน้าใสควรเพิ่มสะเดาเป็นอีกเมนูอาหาร เพราะประกอบด้วยคุณประโยชน์ดังนี้
- ดีท็อกซ์สารพิษ : สะเดามีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่จะช่วยฟื้นฟูและชะลอความเสื่อมต่างๆ ของเซลล์จากการถูกทำร้ายของสารอนุมูลอิสระ ใบสะเดาเมื่อนำมาต้มในน้ำร้อน ใช้จิบแบบชาอย่างน้อยวันละครั้ง ก็จะช่วยให้เลือดสะอาด เป็นการล้างพิษในกระแสเลือด กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
- แก้ปัญหาเรื่องสิว : ควรใช้น้ำมันสะเดา (Margosa) ที่สกัดจากเมล็ดเท่านั้น เพราะมีสารที่บำรุงผิวพรรณได้ เช่น รอยแดง ผื่นคัน สิว รอยสิว และรอยแผลเป็นจากสิว
- บำรุงผิวพรรณ : น้ำมันสะเดาได้มาจากกระบวนการสกัดเย็น (Cold-pressed) ของเมล็ดจากต้นสะเดา (Azadirachta indica) ประกอบด้วยกรดไขมัน (EFA), ลิโมนอยด์ (limonoids), วิตามินอี, ไตรกลีเซอไรด์, สารต้านอนุมูลอิสระแคลเซียม และสารธรรมชาติอื่นๆ อยู่ในระดับสูง ในวงการเครื่องสำอางจึงนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เสริมความงามหลากหลายชนิด เช่น ครีมบำรุงผิว โลชั่นบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและเครื่องสำอาง
- รักษาโรคผิวหนัง : ใบอ่อนและเมล็ดสะเดาออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา
แบคทีเรีย และเชื้อไวรัส จึงสามารถบรรเทาอาการของโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ไวรัส
และแบคทีเรียได้ผลอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราตามเท้า เล็บมือ เล็บเท้า
กลาก-เกลื้อน หิด เริม แผลจากโรคสะเก็ดเงิน (เชื้อแบคทีเรีย) หัด ลมพิษ ผดผื่นคัน
หูด และอีสุกอีใส
- รักษารังแค : สำหรับสาวที่หนังศีรษะแห้งมีรังแคจนทำให้เสียบุคลิก
ลองใช้ใบสะเดามาต้มน้ำแล้วนำมาหมักผมสักพัก ก่อนล้างออก
สารในสะเดาจะช่วยกำจัดเชื้อราและแบคทีเรีย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของรังแคหรืออาการคันศีรษะแห้งเป็นขุยได้
- ปกป้องผิวแห้งจากอากาศหนาว
: ในช่วงฤดูหนาวทำให้สภาพผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น
ส่งผลให้ผิวเกิดรอยแดง ระคายเคือง ผื่นคัน
น้ำมันสะเดาสกัดจากเมล็ดสามารถบรรเทาอาการดังกล่าวได้
- บำรุงสุขภาพช่องปาก : บำรุงเหงือกและฟัน นิยมนำมาสกัดเป็นส่วนผสมในยาสีฟันทั่วไป ช่วยรักษาโรครำมะนาด โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
- ลดการติดเชื้อในช่องคลอด : น้ำมันสะเดาสามารถช่วยลดการติดเชื้อราในช่องคลอดได้
แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ หากใช้เป็นเวลานานจะมีโอกาสตั้งท้องยากขึ้น
เห็นข้อดีมากมายของสะเดาที่มีต่อผิวพรรณและความสวยความงามแล้ว สาวๆ หลายคนคงอยากหันมากินสะเดากันบ้างแล้ว อย่างไรก็ตามการกินสะเดาสดๆ นั้นอาจจะขมไปบ้าง ภูมิปัญญาของคนโบราณจึงใช้ความหวานมาต้านความขม
เกิดเป็นเมนู “สะเดาน้ำปลาหวาน” ของอร่อยประจำฤดูหนาว
เพื่อให้สามารถกินสะเดาได้บ่อยขึ้น
วิธีการทำสะเดาน้ำปลาหวานสูตรเด็ดนั้นไม่ยุ่งยากเลย
เริ่มจากเลือกสะเดาช่อสดๆ
ใบไม่เหลืองและไม่เหี่ยว คนโบราณสอนให้ลวกกับน้ำข้าวร้อนๆ เพื่อลดความขม
แต่คนยุคใหม่หุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้าจึงไม่มีน้ำข้าว
แต่ไม่เป็นรัยลวกสะเดาด้วยน้ำร้อนพอสุกแล้วรีบน้ำลงมาแช่น้ำเย็นจัดเพื่อน็อค
จะได้สะเดาที่เขียวสดกรอบและไม่ขม
ส่วนน้ำปลาหวานที่ใช้กินคู่กับสะเดานั้น
ใช้น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และน้ำปลา ผสมรวมกัน
นำไปตั้งไฟเคี่ยวให้เหนียวปรุงให้ได้ 3 รสกลมกลอมคือหวาน-เปรี้ยว-เค็ม
จากนั้นทิ้งให้เย็นตัวลง
ระหว่างนั้นให้เจียวหอมแดงซอยให้เหลืองกรอบ และพริกแห้งเม็ดเล็กไปทอดกรอบ
น้ำปลาหวานจะให้อร่อยควรมีกุ้งย่างหรือกินคู่กับปลาดุกย่าง
เวลากินก็ให้รูดสะเดาทั้งใบและดอกกินคู่กับน้ำปลาหวานและปลาดุกย่าง รสชาติจะเปรี้ยว-หวาน-มัน
และได้ความหอมจากเนื้อกุ้งหรือเนื้อปลาดุกด้วย
คุณสาวๆ ที่รู้ความลับของสะเดาแล้ว วันนี้รีบไปตลาดสดเพื่อหาซื้อสะเดาน้ำปลาหวานมากินนะคะ กินก่อนสวยก่อนค่ะ