4 ขั้นตอนเตรียมความพร้อมสู่การเป็น ‘ธุรกิจคาร์บอนต่ำ’ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ SME
ภาคธุรกิจต่างพยายามหาทางลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งกระแสดังกล่าวได้ขยายวงกว้างไปในหลายภาคส่วนหนึ่งในนั้น คือกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักอย่าง EU และสหรัฐฯ แสดงความสนใจที่จะนำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาเชื่อมโยงกับการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรเริ่มศึกษาและทำความเข้าใจมาตรการที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากกระแสสิ่งแวดล้อมจะเป็นทั้งตัวขับเคลื่อนภาคธุรกิจ และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ โดยขั้นตอนการเตรียมธุรกิจเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตลอดจนมาตรการคาร์บอนที่ต้องเตรียมรับมือในอนาคต มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
#สิ่งแวดล้อม #ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก #ธุรกิจคาร์บอนต่ำ #เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน # Carbon Footprint #พลังงานหมุนเวียน #คาร์บอนเครดิต #ภาษีคาร์บอน #CBAM#ESG #ลดโลกร้อน #เพื่อนคู่คิดธุรกิจsme #ธนาคารกรุงเทพ #bangkokbanksme
อันดับแรก ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า ธุรกิจของตนมีการปล่อยคาร์บอนเป็นปริมาณเท่าไหร่หรือที่เรียกว่าการทำ Carbon Footprint ซึ่งมีทั้งการทำ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ หมายถึงปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วยตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประกอบชิ้นส่วน การใช้งาน และการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน โดยคำนวณออกมาในรูปของตันคาร์บอนไดออกไซด์ และ Carbon Footprint ขององค์กร หมายถึงปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การใช้ไฟฟ้า การจัดการของเสีย และการขนส่ง โดยวัดออกมาในรูปตันคาร์บอนไดออกไซด์เช่นเดียวกัน
เมื่อทราบปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงานของธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์แล้ว ผู้ประกอบการควรเริ่มจากการใช้มาตรการการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency: EE) เช่น ออกแบบอาคารสีเขียว หรือ การเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าฉลากเบอร์ 5 ประหยัดพลังงาน เป็นต้น
และหาทางลดการปล่อยคาร์บอนภายในกระบวนการผลิตสินค้าหรือกระบวนการทำงานขององค์กร เช่น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา การประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเลือกใช้วัตถุดิบที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ และการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกระบวนการขนส่ง เป็นต้น
สำหรับธุรกิจที่ไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ทั้งหมด ต้องชดเชยคาร์บอนด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต โดยในกรณีที่สามารถชดเชยคาร์บอนได้บางส่วนและยังคงเหลือปริมาณการปล่อยคาร์บอนอยู่ส่วนหนึ่ง เรียกว่า “Carbon Offset” เป็นการชดเชยคาร์บอน เพื่อเอาไปหักลบกับมลพิษที่ปล่อยออกมา เหมือนเป็นกระบวนการในการสร้างของดีเพื่อเอามาหักล้างของเสียนั่นเอง
ส่วนกรณีที่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด เรียกว่า “Carbon Neutral” เป็นการ “ดูดกลับ” ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกไปทั้งหมด เช่น การปลูกป่าเพื่อเพิ่มแหล่งสะสมก๊าซคาร์บอน (Carbon Sink) การใช้เทคโนโลยีในการดักจับก๊าซคาร์บอนและนำกลับมากักเก็บใต้พื้นดิน
ยกตัวอย่างเช่น หากเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ 100 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมีความสามารถในการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้เพียง 80 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เราสามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เหลืออีก 20 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต
ในระยะแรก EU จะใช้มาตรการ CBAM กับสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม ปุ๋ย ซีเมนต์ และพลังงานไฟฟ้า โดยยังให้มีระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Period) ช่วงปี2566-2568 ก่อนจะเริ่มบังคับใช้มาตรการดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2569
ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับมาตรการด้านคาร์บอนที่จะบังคับใช้ในอนาคต โดยEU กำหนดให้ผู้นำเข้า ต้องทำรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนสินค้าที่นำเข้าปีที่ผ่านมา และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอนด้วยการซื้อ CBAM Certificates เพื่อเป็นการปรับคาร์บอนของสินค้าดังกล่าว
ดังนั้นการปรับตัวที่มุ่งสู่การเป็น ‘ธุรกิจสังคมคาร์บอนต่ำ’ ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของ SME ไทย ผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรฐานใหม่ของโลกการค้า เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่อไป
อ้างอิง
https://www.bangkokbanksme.com/en/6sme3-esg-carbon-footprint
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/index.php?lang=TH&mod=YjNKbllXNXBlbUYwYVc5dVgybHo