จัดการเงินกงสี ปิดตำนานเลือดข้นคนจาง บอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของ คุณกวาง เสสินัน นิ่มสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง เพจทำที่บ้าน
ธุรกิจครอบครัวในภาพจำของคนไทย โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวเชื้อสายจีน อาจจะไม่ใช่ภาพจำที่ดีนัก หลายคนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องของความขัดแย้ง แย่งชิงทรัพย์สมบัติ เกิดปัญหาครอบครัวฟ้องร้อง พี่น้องทะเลาะกันเป็นประจำผ่านสื่อต่าง ๆ หลากหลายครอบครัวที่เกิดปัญหา หรือจากซีรีส์ต่าง ๆ ที่มักหยิบยกเรื่องราวปัญหาของธุรกิจครอบครัวออกมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น เลือดข้นคนจาง หรือสืบสันดาน ที่ตอกย้ำปัญหาเหล่านี้เข้าไปอีก
"เงิน" รากเหง้าของปัญหาธุรกิจครอบครัว
ปัญหาอย่าง “เลือดข้นคนจาง” “สืบสันดาน” หรือปัญหาของธุรกิจครอบครัวที่เรามักเห็นกันตามสื่อ เป็นภาพสะท้อนที่ดีมาก ๆ สำหรับการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว แม้ว่าทั้งหมดจะมีปัญหาในรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกปัญหามักจะพาวกกลับมาที่จุดเริ่มต้นเดียวกันคือ “เงิน”
จากการสำรวจของ PwC Family Business Survey 2023 พบว่า 36% ของธุรกิจครอบครัวมองว่าความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวเป็นความท้าทายใหญ่ในการสร้างความเชื่อใจ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่มาจากการจัดการเงินและผลประโยชน์ที่ไม่ชัดเจน
เงินคือสิ่งที่ทำให้ครอบครัวต้องแตก
เงินคือสิ่งที่ทำให้ธุรกิจไม่ได้ไปต่อ
เงินคือสิ่งที่ทำให้ทายาทไม่อยากกลับมาสานต่อ
เราอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า “เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร” แต่ในทางกลับกันหากเราสามารถจัดการเงินในธุรกิจได้ชัดเจนและทุกฝ่ายยอมรับได้ เราก็จะสามารถกำหนดได้ว่า “อยากให้เงินเข้าใครหรือออกใครได้” จนยุติปัญหาของธุรกิจครอบครัว ปิดตำนานเลือดข้นคนจางได้
ความซับซ้อนของการจัดการ “เงินกงสี”
ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจว่าปัญหาเรื่องเงินมีความสำคัญอย่างไรกับธุรกิจครอบครัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การแก้ปัญหาจะเป็นเรื่องง่าย เพราะการจัดการเงินในธุรกิจครอบครัว หรือที่เราเรียกว่า “เงินกงสี” เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก
โดยปกติการจัดการเงินของบุคคลธรรมดาก็นับเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ส่วนการจัดการเงินของธุรกิจก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างมาก ดังนั้น การจัดการเงินกงสีก็คงเป็นเรื่องที่ทั้งยากและซับซ้อนที่สุด เพราะเรากำลังพูดถึงการจัดการเงินให้ธุรกิจและสมาชิกครอบครัวหลายคนพร้อมกัน เราจึงมักพบปัญหาที่ผสมผสานกันไปหมด เช่น ไม่แยกเงินส่วนตัว เงินครอบครัว และเงินธุรกิจ, ไม่มีการกำหนดผลตอบแทนให้ชัดว่าใครทำงานใครไม่ทำงาน และไม่มีการจัดการวางแผนอนาคตว่าธุรกิจจะไปทิศทางไหน
การที่เราจะ “ไขเก๊ะกงสี” ออกมาเพื่อนำเงินของธุรกิจครอบครัวมาพูดคุยหรือจัดการก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะสำหรับธุรกิจครอบครัวมีความซับซ้อนมากกว่านั้น เนื่องจากมีบริบทของความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวด้วย ดังนั้น ก่อนที่เราจะไปดูเรื่องการจัดการเงินกงสี กุญแจดอกแรกที่เราต้องมีในการไขเก๊ะนำเงินออกมาจัดการคือกุญแจที่ชื่อว่า “การพูดคุย”
"การพูดคุย" กุญแจดอกแรกสู่การจัดการเงินกงสี
การพูดคุยคือกุญแจสำคัญ เพราะหากเราไม่เริ่มที่การพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจก่อน หลายครั้งอาจนำพาไปสู่ปัญหาใหม่ได้ เช่น สมาชิกบางคนอาจรู้สึกว่าเราเป็นคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ผลประโยชน์ หรือบางครั้งสมาชิกบางคนที่เคยได้ผลประโยชน์จากระบบเดิมอาจรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้
วิธีการพูดคุยที่ใช้ได้ผลที่สุดไม่ใช่การพูดคุยเรื่องนี้กันต่อหน้าสมาชิกทุกคนในวันรวมญาติหรือบนโต๊ะกินข้าว แต่วิธีการที่ได้ผล คือ การพูดคุยกับสมาชิกเพื่อรับฟังและทำความเข้าใจทีละคน เช่น เรื่องราวของทายาทน้ำมันพืชท่านหนึ่งที่ครอบครัวมีสมาชิกรุ่นหนึ่ง กว่า 10 คน อาศัยการเข้าไปพูดคุยกับสมาชิกทีละคน เพื่อรับฟังว่าพวกเขามองอย่างไร มีอะไรที่ยังกังวลใจ และที่สำคัญคือการสร้างความเข้าใจกับทุกคนว่าเรื่องนี้สำคัญกับครอบครัวหรือธุรกิจของเราอย่างไร ก่อนที่จะนำคำแนะนำของทุกคนมาหาจุดสมดุลในการจัดการเงินในธุรกิจครอบครัว
4 หลักการจัดการเงินกงสีอย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากที่เราได้พูดคุยทำความเข้าใจกับสมาชิกในครอบครัวแล้ว ขั้นต่อไปคือการวางระบบการจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ หลักการสำคัญต่อไปนี้ได้มาจากการศึกษาและวิเคราะห์ทั้งกรณีความสำเร็จและความล้มเหลวของธุรกิจครอบครัวหลายแห่ง ซึ่งจะช่วยให้ครอบครัวของคุณหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
1. เริ่มให้เร็วที่สุด
วันที่เริ่มจัดการธุรกิจครอบครัวที่ดีที่สุดคือ “วันนี้” เพราะการจัดการเงินในธุรกิจครอบครัวจะยิ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากสมาชิกครอบครัวจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทรัพย์สินและโครงสร้างธุรกิจจะขยายตัวขึ้น และที่สำคัญ คือ ความสัมพันธ์และผลประโยชน์ระหว่างสมาชิกจะยิ่งซับซ้อนขึ้นด้วย
ทว่าธุรกิจครอบครัวมักมีความเข้าใจผิด โดยคิดว่า “ธุรกิจเรายังเล็ก ทรัพย์สินยังไม่มากเท่าตระกูลใหญ่ ๆ ยังไม่จำเป็นต้องวางระบบการจัดการ” แต่ความเป็นจริงแล้ว การวางระบบตั้งแต่วันแรกต่างหาก ที่ทำให้ตระกูลธุรกิจขนาดใหญ่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขาสามารถป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเสียตั้งแต่วันนี้ และโฟกัสกับการทำธุรกิจได้อย่างเต็มที่ อาศัยความเป็นครอบครัวที่เป็นจุดแข็งของธุรกิจครอบครัวร่วมแรงกันทำให้ธุรกิจออกมาประสบความสำเร็จ
2. แบ่งกระเป๋าให้เคลียร์และมีวินัยทางการเงิน
การจัดการเงินที่ไม่ถูกต้องทำให้ธุรกิจครอบครัวหลายแห่งต้องล่มสลาย การไม่แบ่งเงินให้ถูกต้องว่าส่วนไหนเป็นเงินของธุรกิจ ส่วนไหนเป็นเงินของครอบครัว รวมถึงการไม่รักษาระดับเงินสดสำรองและการก่อหนี้มากเกินความจำเป็น เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมากต่อทั้งตัวธุรกิจและครอบครัวเอง
ในด้านธุรกิจ การนำกระแสเงินสดของธุรกิจออกไปอาจทำให้ธุรกิจประสบปัญหาได้ หรือในการบันทึกบัญชี การนำเงินออกไปใช้ส่วนตัวก็อาจส่งผลทำให้เครดิตของธุรกิจไม่น่าเชื่อถือ หรืออาจถูกทางสรรพากรเรียกตรวจสอบได้
ในด้านครอบครัวเองก็เสี่ยงไม่ต่างกัน ในวันที่ธุรกิจยังดีก็คงไม่เป็นอะไร แต่หากวันที่ธุรกิจประสบปัญหาขึ้นมา ธุรกิจครอบครัวหลายแห่งก็มักตัดสินใจนำเงินของครอบครัวใส่ลงไปพยุงธุรกิจไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อธุรกิจไม่สามารถพลิกกลับมาได้ครอบครัวเองก็จะประสบปัญหาตามไปพร้อม ๆ กัน
ดังนั้น การแยกเงินให้ถูกต้อง และมีนโยบายการเงินที่รอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจและครอบครัวไปต่อได้ ดังที่การศึกษาของ McKinsey ได้ยกตัวอย่างธุรกิจโลจิสติกส์ในยุโรปที่รอดพ้นวิกฤต Supply Chain ปี 2021 เพราะบริษัทมีนโยบายทางการเงินที่รอบคอบและระมัดระวัง โดยรักษาระดับเงินสดสำรองไว้สูง และไม่ก่อหนี้มากเกินไป พร้อมทั้งมุ่งเน้นมุมมองระยะยาวแม้ในช่วงวิกฤต ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงการล้มละลายในที่สุด
3. ผลตอบแทนต้องชัด
ปัญหา “คนทำไม่ได้ คนได้ไม่ทำ” ปัญหา “คนทำมาก ทำน้อยได้เท่ากัน” หรือปัญหา “ลูกรัก” จะหมดไปหากเรามีการกำหนดผลตอบแทนในส่วนนี้ชัดเจนว่าสมาชิกครอบครัวคนไหนทำงาน คนไหนไม่ทำงาน คนไหนมีหุ้น คนไหนไม่มีหุ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนว่าอยู่ตรงไหนในธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการก้าวก่ายบทบาทหน้าที่กัน ทำให้ธุรกิจครอบครัวเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
จากการศึกษาของ PwC พบว่า 36% ของธุรกิจครอบครัวมองว่า ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการสร้างความเชื่อใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการไม่กำหนดบทบาทและผลตอบแทนที่ชัดเจน ดังนั้น หากกำหนดบทความตรงนี้โปร่งใสแต่ต้น ก็จะส่วนลดผลกระทบด้านความขัดแย้งได้
ตัวอย่างสำหรับการกำหนดเรื่องผลตอบแทน กรณีมีสมาชิกครอบครัว 4 คน
A มีหุ้นในธุรกิจแต่ไม่ได้ทำงานในธุรกิจ ผลตอบแทนที่ A จะได้รับก็จะมาจาก เงินปันผล หรือเบี้ยประชุมต่าง ๆ จากธุรกิจเท่านั้น บทบาทหน้าที่ก็ไม่สามารถเข้ามาสั่งการควบคุมธุรกิจได้
B มีหุ้นและเข้ามาทำงานในธุรกิจ ผลตอบแทนที่ B ได้รับก็จะมาจากทั้ง เงินปันผล และเงินเดือน รวมถึงเงินโบนัสและสวัสดิการจากธุรกิจ และก็จะมีบทบาทในการบริหารธุรกิจตาม Job Description ของตัวเอง
C ไม่มีหุ้นแต่เข้ามาทำงานในธุรกิจ ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะมาจากเงินเดือนและเงินโบนัสเท่านั้น แต่ก็จะยังคงมีอำนาจในการบริหารตาม Job Description ไม่ต่างจาก B
D ไม่มีหุ้นและไม่ได้เข้ามาทำงาน ผลตอบแทนที่ D พึงได้รับจะไม่ได้มาจากธุรกิจโดยตรง แต่อาจจะมาจากสมาชิกคนใดคนหนึ่งนำผลตอบแทนจากธุรกิจมาส่งต่อให้ D ต่อนั่นเอง และ D เองก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจได้
การกำหนดผลตอบแทนและบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนจะช่วยอย่างมากในการทำให้ธุรกิจครอบครัวเปลี่ยนจากธุรกิจครอบครัวกลายเป็นธุรกิจแบบมืออาชีพมากยิ่งขึ้น และมันจะช่วยให้การทำธุรกิจของเราเติบโตและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
4. ส่งต่อราบรื่น
ธุรกิจครอบครัวของใครหลายคนอาจดูราบรื่น ไปได้ด้วยดีและไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วอาจมีระเบิดเวลาที่เรานึกไม่ถึงซ่อนอยู่ หลายครอบครัวอาจกำลังประสบปัญหาเนื่องจากระเบิดเวลานี้ นั่นคือ “การวางแผนการส่งต่อ”
ธุรกิจครอบครัวหลายแห่งมักมองข้ามเรื่องนี้ไป ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้าเอาไว้ว่าใครต้องเป็นคนมารับผิดชอบดูแลธุรกิจนี้ต่อ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันกับบุคคลสำคัญขึ้น ตำแหน่งบริหารในธุรกิจครอบครัวก็อาจกลายเป็นภาวะสุญญากาศทันที เพราะไม่มีข้อปฏิบัติในการสานต่อ จนเกิดปัญหาครอบครัวฟ้องร้อง พี่น้องทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ อย่างที่เราเห็นในภาพข่าว
ปัญหาการส่งไม้ต่อคือเรื่องที่สำคัญมาก แม้แต่ธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างที่แข็งแรง มีบอร์ด มีกรรมการ ก็ยังไม่อาจจัดการปัญหานี้ได้โดยง่าย ยิ่งกับธุรกิจครอบครัว SME ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก เพราะไม่ได้มีระบบหรือโครงสร้างที่ช่วยในการตัดสินใจด้วย
การวิจัยของ McKinsey พบว่า ธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จมักจะมีการเตรียมทายาทอย่างเป็นระบบ เช่น ผู้ค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในแอฟริกา ที่กำหนดให้สมาชิกครอบครัวที่สนใจร่วมงานต้องผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ที่เข้มงวด (มากกว่ากระบวนการรับสมัครปกติ) และจัดวางตำแหน่งตามทักษะ ในขณะที่บริษัทเสื้อผ้าแห่งหนึ่งในเอเชีย กำหนดให้สมาชิกครอบครัวต้องหมุนเวียนตำแหน่ง มอบหมายให้ริเริ่มดีล M&A ใหม่ ๆ หรือแก้ไขความท้าทายที่มีอยู่เพื่อประเมินทักษะการแก้ปัญหา เป็นต้น
การวางแผนส่งต่อธุรกิจจึงไม่ต่างอะไรกับการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจครอบครัว เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเรื่องที่ต้องหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันก็มักจะเป็นประเด็นเหล่านี้ เช่น ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำธุรกิจต่อ, การสื่อสารกับสมาชิกทุกคน, การวางแผนทางการเงินหรือภาษี, ตลอดจนการแบ่งมรดกและพินัยกรรม
ในท้ายที่สุดการจัดการเงินกงสีของธุรกิจครอบครัว ไม่ใช่เพียงการบริหารเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่คือการบริหารเรื่องความรู้สึกของสมาชิกครอบครัวทุกคนด้วย เราอาศัยกฎ อาศัยหลักการ หรืออาศัยทฤษฎีได้ แต่ต้องอย่าลืมสนใจความรู้สึกของทุกคนด้วย เพราะอย่างไรก็ตามจุดแข็งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวประสบความสำเร็จก็คือความเป็นครอบครัวนั่นเอง
อ้างอิง
Fine-tuning family businesses for a new era - https://www.mckinsey.com/capabilities/people-and-organizational-performance/our-insights/fine-tuning-family-businesses-for-a-new-era#/
The secrets of outperforming family-owned businesses: How they create value—and how you can become one - https://www.mckinsey.com/industries/private-capital/our-insights/the-secrets-of-outperforming-family-owned-businesses-how-they-create-value-and-how-you-can-become-one
PwC PNG’s 3rd Family Business Survey: Transform to build trust - https://www.pwc.com/pg/en/publications/family-business-survey/family-business-survey-2023.html