SME หัวใจใหญ่กว่าธุรกิจ: เมื่อ “นายอ้วนเย็นตาโฟ” และ “เรือนบุษบา” สอนเราว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่มันคือทางรอดและทางรุ่ง”
ในวันที่ทุกแบรนด์ต่างพากันพูดเรื่อง “ความยั่งยืน” คำถามคือ…ใครกันที่กำลัง “ทำจริง”?
คำตอบไม่ได้อยู่ในโฆษณาบนบิลบอร์ดหรือหน้าเพจสวยหรู แต่อยู่ในถนนเล็ก ๆ ที่ผู้ประกอบการตัวเล็ก ๆ กำลัง “ลงมือ” เปลี่ยนโลกใบนี้ ด้วยความตั้งใจที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
เราพาไปรู้จักสองธุรกิจที่อยู่คนละปลายทางของอุตสาหกรรม—ร้านดอกไม้ “เรือนบุษบา” ที่ให้บริการแบบ Quiet Luxury และร้านอาหาร “นายอ้วนเย็นตาโฟ” ที่ยกระดับ Street Food แบบยั่งยืน ทั้งสองแบรนด์ไม่ได้แค่ขายสินค้า แต่กำลังขาย “ความเชื่อ” ที่ฝังอยู่ในทุกดอกไม้ ทุกชามก๋วยเตี๋ยว ทุกคำพูดของเจ้าของแบรนด์
งานวิจัยระดับโลกของ Ipsos เปิดเผยว่า ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศที่ตื่นตัวเรื่อง Climate Change เริ่มรู้สึกว่า แบรนด์มีหน้าที่ต้องลงมือทำไม่ใช่แค่พูดสวย ๆ เพราะหากไม่ทำ พวกเขาจะ “ล้มเหลว” ต่อความไว้วางใจของทั้งลูกค้าและพนักงาน
Ipsos ยังพบว่าคนจำนวนมาก “ยังไม่แน่ใจ” หรือ “เฉย ๆ” กับการสื่อสารเรื่องความยั่งยืน—นี่คือ “ช่องว่าง (White Space)” ที่แบรนด์ควรเติมด้วยความจริงแบบโปร่งใส จริงใจ ไม่ใช่โฆษณาเว่อร์วัง โดยเฉพาะในโลกที่การ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) ถูกจับตาเข้มข้นกว่าที่เคย
Ipsos บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลก สรุปออกมาเป็น 5 หลักการ ที่ตรงใจเหลือเกิน เมื่อย้อนกลับมาดูสอง SMEs ไทยที่เรากำลังจะเล่าให้ฟัง…
5 หลักการจากงานวิจัย Ipsos ที่ควรเป็นเข็มทิศให้กับแบรนด์ มีดังนี้:
พูดเรื่องยั่งยืนอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องทำให้โดดเด่นจาก Sea of Sameness ใคร ๆ ก็พูดเรื่องความยั่งยืน
สื่อสารแบรนด์ควบคู่กับความยั่งยืน อย่าแยกกันคนละเวที
ดึงดูดให้คนอยากทำดี ไม่ใช่บังคับ
กล้าเผชิญปัญหาตรง ๆ พร้อมแก้ปัญหาตรง ๆ
พูดความจริง และ “ทำตามที่พูด” เพราะความน่าเชื่อถือคือหัวใจหลักของการสื่อสารยั่งยืน
เรือนบุษบาและนายอ้วนเย็นตาโฟ คือภาพสะท้อนของหลักการเหล่านี้ในชีวิตจริง พวกเขาไม่ต้องมีโฆษณาใหญ่โต ไม่ต้องฟอกเขียวด้วยอินโฟกราฟิก แต่มีลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการซ้ำ ๆ ที่ให้ความเชื่อใจ มีชุมชนที่ดีขึ้น นั่นเพราะเขาใส่ใจ และมีระบบที่เปลี่ยนแปลงโลกด้วยดอกไม้ทีละดอก และก๋วยเตี๋ยวทีละชาม
เรือนบุษบา: จากเสียงกรี๊ดในคอนเสิร์ต สู่ “ความเงียบหรู” ในวงการดอกไม้
“ดอกไม้ 1 ช่อ…มี Carbon Footprint เท่าไรแล้วจ่ายคืนอย่างไร?”
น้อยคนนักจะตั้งคำถามแบบนี้ในวงการธุรกิจดอกไม้
แต่คุณปณิธาน เจ้าของร้านดอกไม้ “เรือนบุษบา” ตั้งคำถามนี้กับตัวเองมาตลอด
จากอดีตนักออกแบบคอนเสิร์ตที่มีแต่เสียงกรี๊ด เขาผันตัวมาอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของดอกไม้ที่นิวยอร์ก ก่อนจะกลับมาเปิดร้านเล็ก ๆ ในไทยด้วยใจที่ยังไร้แผนธุรกิจ แต่เต็มไปด้วย “เป้าหมาย (Purpose)”
“เราขายการบริการและความไว้วางใจ (Service&Trust) ไม่ใช่แค่ดอกไม้” เขาพูดอย่างมั่นใจ
ลูกค้ามีสิทธิ์เลือก และเราต้องทำให้เขา “กลับมาเลือกเราอีก” ด้วยเพราะความไว้วางใจ
สิ่งที่เรือนบุษบาทำไม่ใช่แค่ “ส่งดอกไม้ถึงมือ” แต่คือการส่งต่อความละเอียดอ่อนทั้งทางอารมณ์และคุณภาพ ด้วยการวางแผนอย่างมีระบบแบบมืออาชีพ
จากการให้บริการระดับพรีเมียมที่ต้องดูแลลูกค้าระดับโลก ไปจนถึงการได้รับการประเมิน ESG Rating กับ EcoVadis เพื่อเป็น Supplier ของบริษัทที่มีนโยบายการจัดซื้อจัดหา (Procurement Policy) ที่จริงจังเรื่องความยั่งยืน บริษัทระดับโลกเหล่านี้ไม่ได้ดูแค่ราคาและคุณภาพของสินค้าและบริการของเรา แต่ดูไปถึง Supply Chain ของเรา
เรือนบุษบาค่อย ๆ เติบโตจากแรงศรัทธาในคุณภาพและบริการ พนักงานถูกเทรนให้ดูแลลูกค้าแบบ “Concierge มืออาชีพ”
“ตอนแรกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ESG คืออะไร แต่เรารู้ว่าเราต้องดูแลคนของเรา ลูกค้าของเรา และโลกที่เราอยู่ด้วยกันให้ดีที่สุด”
เมื่อได้เข้าไปวัดผล ESG จริง ๆ จึงเริ่มออกแบบ “Blueprint 12 ข้อ” ซึ่งครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล
Environmental: เปลี่ยนการจัดหาดอกไม้ให้ยั่งยืน เน้นใช้ดอกไม้ไทยมากขึ้น แยกขยะอย่างเคร่งครัด ทำปุ๋ยจากดอกไม้ ตรวจสอบคุณภาพน้ำก่อนปล่อยทิ้ง และเริ่มเก็บข้อมูล Carbon Footprint
Social: สื่อสารกับลูกค้าเรื่องการจัดการขยะ แนะนำวิธีรีไซเคิล รับกลับ รวมถึงดูแลคุณภาพชีวิตพนักงานอย่างใส่ใจ
Governance: เข้าใจและปรับตัวตาม PDPA, GRI Reporting, Supplier Audit เพื่อให้สอดคล้องกับโลกธุรกิจยุคใหม่
ความคาดหวังของเรือนบุษบาในอนาคต คือการเป็นตัวเชื่อมให้ลูกค้าที่องค์กรและบุคคลใส่ใจเรื่องความยั่งยืนผ่านการสื่อสารของทางร้าน และเมื่อลูกค้าสนใจมากขึ้น เราก็จะสามารถผลักดันให้ฝั่งผู้ผลิตใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้นได้ เราเป็นกลางในการสื่อสารระหว่างคนซื้อและคนขาย ในแนวคิด Regenerative Business ทั้งนี้ เรือนบุษบาอยากผลักดันเรื่อง Fair Trade ให้เกิดกับตลาดดอกไม้พรีเมียมในประเทศไทย เพื่อให้เกษตรกรใส่ใจ ลงทุนปลูกดอกไม้อย่างประณีตและผลตอบแทนที่ชื่นใจ ซึ่งจะช่วยยกระดับห่วงโซ่คุณค่าในภาพรวมได้อีกด้วย
“เราอาจยังไม่เห็นกำไรด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าโลกนี้ร้อนขึ้นทุกปี ดอกไม้แย่ลงทุกปี แล้วเรายังรออะไร ถ้าเราพอจะลงมือทำอะไรได้บ้างในฐานะคนตัวเล็ก” ปณิธานกล่าว
นายอ้วนเย็นตาโฟ: การรักษาตำนาน สร้างพันธมิตร ยกระดับ Street Food แบบไทย ๆ
หากเรือนบุษบาคือ Quiet Luxury
“นายอ้วนเย็นตาโฟ” ก็คือ Bold Legacy ที่มาพร้อมหัวใจรุ่นใหม่
คุณกิจ—ทายาทรุ่นที่ 3 ของตำนาน “นายอ้วนเย็นตาโฟ” เสาชิงช้า กำลังมีแนวคิดช่วยปั้นร้านอาหารสตรีทฟู้ดในแบบที่ไม่ใช่แค่ “ขายดี” แต่ต้องเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้าง Impact ไปพร้อม ๆ กัน เขาจึงเข้ามาดูแลกิจการต่อจากพ่อแม่ ตั้งใจยกระดับเย็นตาโฟไทย และวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเย็นตาโฟ สร้างความแปลกใหม่ในการกินเย็นตาโฟ ให้คนรู้จักมากขึ้น ผ่านธุรกิจครอบครัวที่ทำให้เขาเติบโตมา ทุกวันนี้ “นายอ้วนเย็นตาโฟ” มีผักบุ้งสายพันธุ์ที่เขาคัดเลือกเอง และสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกเพื่อดูแลคุณภาพวัตถุดิบและสร้างรายได้ไปพร้อม ๆ กัน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายพันธมิตรสตรีทฟู้ดไทยให้เติบโตไปด้วยกัน
พันธกิจของ “นายอ้วนเย็นตาโฟ” คือ เราตั้งใจให้คนทั่วโลกได้กินเย็นตาโฟให้ได้มากที่สุด และอยากทำเย็นตาโฟให้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทย”
วันนี้ร้านมี 42 สาขา มีทีมงาน 200 ชีวิต มีครัวกลาง มีแบรนด์ดิ้ง มีมาตรฐาน แต่ที่มากกว่านั้นคือมี “ความรับผิดชอบ” และมีความรู้ ประสบการณ์ ความชำนาญ ที่พร้อมไปช่วย Street Food ไทยให้รอดและเติบโตไปด้วยกัน
SME ไทยมี 2 ทาง คือวิ่งตามกระแส หรือหยุดนิ่ง แต่เราลืมกลับมาดูตัวตนและจุดแข็งของเรา สิ่งที่เรามีอยู่ เพื่อเป็นการรู้จักตัวตนของเรา จะทำให้เราไม่รีบกระโจนเข้าไปเปลี่ยนแปลงจนเสียตัวตนไปเสียหมด และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับกิจการ ในการหาจุดแข็งหรือตำนานที่สืบทอดกันมา และหยิบตำนานที่เราเติบโตมา เอามาเล่าต่อ พูดคุยอะไรได้บ้าง เพราะเราชอบทำสิ่งใหม่ ๆ จนลืมตัวตนเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่า แต่วันหนึ่งเราสำนึกบุญคุณเย็นตาโฟ ที่เลี้ยงเรามา จึงอยากกลับมาทำให้เขาเติบโต”
“ผมเห็นร้านในตำนานที่พ่อแม่ผมพาไปกินตอนเด็ก เริ่มปิดตัวลงและหายไป จนทำให้เรารู้สึกว่าความทรงจำดี ๆ ในร้านต่าง ๆ เหล่านั้นค่อยๆ สูญหายไป ส่วนร้านที่ยังอยู่ เจ้าของที่เคยเจอตอนเด็ก ทุกวันนี้เขาก็ยังคงยืนทำอยู่ แต่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนแรง”
ความตั้งใจของกิจที่เป็นภาคต่อ คือ “สืบทอดตำนานของคนตัวเล็ก” ให้รอดพ้นจากยุคทุนใหญ่ ลงมาเล่นอาหารจานด่วนแบบคนไทย นายอ้วนเย็นตาโฟกลายเป็นทั้งผู้เล่น และผู้ประคอง Ecosystem ของ Street food
เขาอยากช่วยร้านสตรีทฟู้ดที่ทุกวันนี้มีการแข่งขันสูงขึ้น นายทุนก็ลงมาเล่นตลาดนี้ เขาอยากเสนอตัวเป็นสะพานในการสานต่อตำนานเหล่านั้นให้ยังคงอยู่ และอาสาไปช่วยจับมือพาพี่ ๆ ที่มารับต่อกิจการ เปรียบเสมือนไปเป็นลูกชายคนเล็กอาสาช่วยพี่ ๆ ทำธุรกิจในครอบครัวอื่น ให้เติบโตอย่างยั่งยืน แล้วเหลือส่วนที่เป็นความถนัดและความสุขที่ทำอาหารให้อร่อยไว้ให้กับเจ้าของต้นตำรับ เพราะแก่นของร้านอาหารไม่ได้มีแค่อาหาร ธุรกิจนี้รวมทั้งศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน จึงต้องมีทีมงานมาช่วยเติมเต็ม ภารกิจนี้จะเป็นการรวมตัวของคนตัวเล็ก ไม่ได้ยั่งยืนเฉพาะตัวกิจการ และจะมีความสุขระหว่างทางแห่งการเติบโต พอเรารวมตัวกันก็สร้างแรงกระเพื่อมให้วงการได้ดีเลย และสามารถทำอะไรดีร่วมกันได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในวงการสตรีทฟู้ด และการเดินทางบทต่อไปของพวกเขาก็คือ การไปสนับสนุนชุมชนและเกษตรกร โดยชุมชนหรือคนที่อยากมีรายได้เพิ่ม พวกเขาสามารถมาเรียนรู้กับฟาร์มปลอดสารที่จะเป็นโรงเรียนสอนอาชีพ และนำความรู้กลับไปชุมชนเพื่อปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ส่งเข้าเครือข่ายร้านอาหารของในเครือนายอ้วนเย็นตาโฟ และคุณกิจสามารถเป็นตัวกลางในการติดต่อเพื่อนร้านอาหารมากมายในการรับซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกร ซึ่งชุมชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรต่อไป
SME ไม่ได้ “เล็ก” ถ้าใจใหญ่พอดี
โลกนี้ยังต้องการแบรนด์ใหญ่เสียงดังที่กล้าขับเคลื่อนระบบให้มีแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง แต่โลกนี้จะเปลี่ยนไม่ได้เลย หากไม่มี “คนตัวเล็กที่ทำจริง”
เราจึงขอเชิดชูทุก SME ที่ปรับตัวไม่เพียงแต่ “Talk the walk” แต่ “Walk the Talk” แบบเต็มสองเท้า
…ในวันที่โลกต้องการทุกมือ ทุกหัวใจ ทุกช้อนส้อม และทุกช่อดอกไม้
เพื่อทำให้ความยั่งยืน “ไม่ใช่แค่เรื่องของอนาคต” — แต่เป็นเรื่องของวันนี้สำหรับทุกคน