“พสุธารา” เปลี่ยนแพสชันเล็ก ๆ เป็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตร

SME in Focus
19/09/2025
รับชมแล้วทั้งหมด 2 คน
“พสุธารา” เปลี่ยนแพสชันเล็ก ๆ เป็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตร
banner

หลายครั้ง จุดเปลี่ยนของชีวิตไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่โต แต่อาจเริ่มต้นจากสัญญาณเล็ก ๆ ที่ทำให้เราหันกลับมาทบทวนการใช้ชีวิตของตัวเอง สำหรับ “ดร.ดรุณี วัฒน์นครบัญชา (คุณอ้อย)” แรงบันดาลใจนั้นมาจากสุขภาพที่บอกให้เธอหันมาใส่ใจธรรมชาติและอาหารการกินมากขึ้น ด้วยความเชื่อว่า “พืชคือยาของเรา” เธอจึงเลือกเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ใกล้ชิดธรรมชาติ และนั่นกลายเป็นก้าวแรกของการสร้างธุรกิจเกษตรยุคใหม่ ที่ใครหลายคนอยากรู้ว่า เส้นทางนี้เริ่มต้นและเติบโตได้อย่างไร

จากที่ดินรกร้างกว่า 40 ไร่ในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี วันนี้ บริษัท พสุธารา จำกัด ไม่เพียงพลิกพื้นที่ที่เคยปลูกอะไรไม่ขึ้นให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ แต่ยังต่อยอดจนกลายเป็นฟาร์มเลมอนต้นแบบของไทย และเป็นกรณีศึกษาของ Smart Farmer ที่พัฒนางานวิจัยจนได้รับฉายา “ดร.เรื่องการสุก” สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อแพสชันถูกบริหารจัดการอย่างจริงจัง ก็สามารถงอกเงยเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและมีคุณค่าต่อทั้งชุมชนและโลกใบนี้ได้



เริ่มต้นจากแพสชันเล็ก ๆ นำไปสู่การลงมือทำครั้งยิ่งใหญ่

เรื่องราวของพสุธารา เริ่มจากการที่คุณอ้อยประสบปัญหาสุขภาพ ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตนเองจนต้องเปลี่ยนแนวทางการดูแลตัวเอง โดยหันมาใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติ แม้จะเป็นเพียงทางเลือกเพื่อรักษาร่างกายในช่วงแรก แต่กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอได้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคน ธรรมชาติ และอาหารอย่างลึกซึ้ง 

คุณอ้อยจึงตัดสินใจซื้อที่ดินกว่า 40 ไร่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เพื่อปลูกพืชสำหรับดูแลสุขภาพตัวเอง แม้ไม่มีพื้นฐานด้านเกษตรมาก่อน แต่ด้วยนิสัยรักการค้นคว้าและทดลอง จึงเลือกที่จะเปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง โดยเริ่มต้นจากการปลูกพืชบำรุงดินอย่างปอเทือง ค่อย ๆ สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน ก่อนต่อยอดมาสู่การปลูกเลมอน ซึ่งในเวลานั้นยังแทบไม่มีใครในไทยเลือกปลูก

สิ่งที่น่าสนใจคือ คุณอ้อยไม่ได้เลือกเลมอนเพราะกระแสตลาด แต่เลือกจากความชื่นชอบในธรรมชาติและความเชื่อมั่นของตนเองว่า “หากพืชตระกูลส้มอย่างมะนาวหรือส้มโอปลูกได้ในพื้นที่แห่งนี้ เลมอนก็น่าจะปลูกได้เช่นกัน” 

เพราะมองเห็นความเป็นไปได้ในสิ่งที่คนอื่นยังไม่กล้า คุณอ้อยจึงสามารถสร้าง “จุดต่างทางธุรกิจ (Differentiation)” ขึ้นมาได้ และพาพสุธาราก้าวขึ้นมาเป็นผู้บุกเบิกการปลูกเลมอนในประเทศไทย



เปลี่ยนของเสียให้เป็นคุณค่า เพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่รักถูกทิ้ง

นอกจากปลูกเลมอนแล้ว พสุธารายังต่อยอดไปถึงการใช้ประโยชน์สูงสุดจากทุกส่วนของผลผลิต โดยคุณอ้อยเห็นว่า สิ่งที่เกษตรกรส่วนใหญ่มองข้ามอย่างเปลือกเลมอนหรือเศษเหลือจากการผลิต แท้จริงแล้วกลับซ่อนคุณค่าเอาไว้อย่างมหาศาล 

“พอเห็นเลมอนที่เราปลูกด้วยแรงกาย แรงใจ และความรัก ถูกโยนทิ้งลงกองขยะ ตอนนั้นอ้อยก็รู้สึกเลยว่า ทำไมสิ่งที่มีคุณค่าขนาดนี้ถึงถูกปล่อยให้สูญเปล่า จากวันนั้น อ้อยจึงเริ่มค้นหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรดีให้ทุกส่วนของเลมอนสามารถสร้างประโยชน์และมูลค่าได้” 

ดังนั้น แทนที่จะทิ้งเปลือกลงกองปุ๋ยเหมือนฟาร์มทั่วไป คุณอ้อยได้ทดลองนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น สเปรย์ เจลแอลกอฮอล์ น้ำยาล้างจาน หรือแม้แต่อาหารแปรรูปอย่างเลมอนสไลด์บ่มน้ำผึ้งอบแห้ง ทำให้ของเหลือทิ้งที่ดูเหมือนไม่มีราคา กลายเป็นรายได้หลักแสนได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ กลยุทธ์นี้สะท้อนการทำธุรกิจในแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่โลกกำลังให้ความสำคัญ เรื่องการหมุนเวียนทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดการสูญเสีย และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น



เมื่อวิกฤตบังคับให้เรียนรู้ จึงพบแนวทางใหม่ในการเติบโต

ทุกธุรกิจย่อมต้องเจอความผันผวน แต่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ใครหลายคนยังยืนหยัดได้แม้ต้องเจอวิกฤต คือ “การปรับตัว” พสุธาราเองก็เช่นกัน เมื่อเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้รีสอร์ต ร้านอาหาร และช่องทางขายออฟไลน์จำนวนมากปิดตัวลง คุณอ้อยเลือกที่จะไม่หยุดเดินต่อไปข้างหน้า แต่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการในการหาทางออกใหม่ นั่นก็คือ “การขายคูปองดิจิทัล (E-Coupon)” โมเดลนี้ทำให้พสุธาราสามารถระดมเงินทุนกว่า 4.7 ล้านบาทในเวลาเพียง 7 วัน แม้ลูกค้าจะยังไม่เคยเห็นสินค้าเลย แต่ก็เชื่อมั่นในความจริงใจของแบรนด์ เนื่องจากพสุธาราใช้การไลฟ์สดผ่าน Facebook เป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราวจากไร่ แชร์เบื้องหลังการทำงาน ไปจนถึงการช่วยขายสินค้าของเกษตรกรในชุมชนรอบข้างด้วย วิธีนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนเองไม่ใช่แค่ผู้ซื้อ แต่ยังเป็น “เพื่อนร่วมทาง” กับคุณอ้อย ที่ได้ช่วยเหลือเหล่าเกษตรกรไปพร้อมกัน


เมื่อ “เวลาเก็บเกี่ยว” กลายเป็นโจทย์ทางธุรกิจ

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้พสุธารามีความแตกต่าง คือการไม่หยุดอยู่แค่การปลูกและขายผลผลิต แต่คุณอ้อยยังขยายขอบเขตการเรียนรู้เพิ่มเติมจากโจทย์จริงที่เจอในไร่ด้วย

“เลมอนต่างจากผลไม้ทั่วไปเพราะออกลูกตลอดทั้งปี บนต้นเดียวกันสามารถมีทั้งลูกสีเขียวและลูกสีเหลืองปนกันอยู่ ดังนั้น คำถามที่พบบ่อยที่สุดเลยคือ ‘แล้วจริง ๆ ผลผลิตควรเก็บเกี่ยวเมื่อไหร่จึงจะได้คุณภาพดีที่สุด?’ อ้อยฟังคำถามนี้มาเป็นเวลา 7 – 8 ปีแล้วค่ะ” 

คำถามนี้ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านที่อยากรู้ แม้แต่นิสิต นักวิจัย หรือแม้กระทั่งตัวคุณอ้อยเองก็ต้องการคำตอบที่ชัดเจน หลังจากสังเกตและรับซื้อเลมอนมาหลายปี เธอพบว่าในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเก็บตอนผลยังเขียว แล้วปล่อยให้สุกทีหลังจนเหลือง แต่เลมอนแบบนั้น คุณอ้อยบอกว่า “ไม่หอม ไม่ได้รสชาติเต็มที่” ต่างจากเลมอนที่สุกบนต้นซึ่งให้คุณภาพสูงกว่า

ด้วยความใฝ่รู้ คุณอ้อยจึงเลือกทำเรื่องนี้เป็นหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ ระหว่างการเรียนต่อระดับปริญญาเอกด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน “เวลาเก็บเกี่ยว” หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “ดร.เรื่องการสุก” ความรู้นี้ช่วยให้เธอเข้าใจอย่างเป็นระบบว่า การเก็บเกี่ยวในระดับความสุกที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณภาพ แต่ยังเพิ่มมูลค่าและลดการสูญเสียได้อย่างมหาศาล เพราะผลไม้ที่ถูกเก็บในช่วงเวลาที่ “พอดี” จะคงคุณภาพรสชาติและกลิ่นหอมได้ดีที่สุด นั่นหมายความว่าเกษตรกรสามารถส่งมอบสินค้าที่ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ซัปพลายเออร์และผู้บริโภคให้ความสำคัญ

ปัจจุบัน องค์ความรู้นี้กำลังได้รับการต่อยอดเป็นแอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกร ที่ช่วยประเมินระดับความสุกของผลไม้อย่างแม่นยำ ถือเป็นการยกระดับจากฟาร์มเลมอนเล็ก ๆ ไปสู่บทบาทของเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farmer) ที่สร้างนวัตกรรมได้จริง



มุ่งเติบโตไปข้างหน้า แต่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สำหรับพสุธารา “การช่วยเหลือคนอื่น” คือหัวใจของการทำธุรกิจ เพราะคุณอ้อยเชื่อว่าถ้าทุกคนรอบตัวอยู่ได้ แข็งแรงขึ้น ธุรกิจก็ไปต่อได้เช่นกัน ช่วงที่เกิดปัญหาสับปะรดล้นตลาด เธอไม่เพิกเฉย ลงมือช่วยชาวสวนทั้งการระบายผลผลิตและผลักดันการแปรรูปเพื่อยืดอายุ–เพิ่มมูลค่า ตั้งแต่น้ำสับปะรดเลมอนสกัดเย็น สับปะรดสไลซ์บ่มในน้ำผึ้ง น้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรด ไปจนถึงสุรากลั่นสับปะรด

สิ่งที่น่าสนใจคือ ความสำเร็จจากการช่วยเหลือชุมชนในครั้งนั้น ส่งผลให้ภาครัฐเล็งเห็นถึงศักยภาพของคุณอ้อยในการพัฒนาต่อยอดผลผลิตทางการเกษตร จึงได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานแก้ปัญหาราคาสับปะรดตกต่ำและล้นตลาดในจังหวัดราชบุรี เหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเกษตรกรอย่างจริงจังในทุกรูปแบบที่สามารถทำได้

ช่วงโควิด-19 ก็เช่นกัน คุณอ้อยเล่าอย่างภูมิใจว่า “ตอนนั้นทุกคนไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ คนซื้อหาซื้อของไม่ได้ ส่วนคนขายก็ไม่มีช่องทางจำหน่าย พสุธาราจึงริเริ่มโครงการ ‘อาสาจ่ายตลาด’ ไลฟ์สดขายผักและผลไม้ให้เกษตรกร โดยไม่บวกกำไรเพิ่ม และไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง ค่าบรรจุภัณฑ์ หรือค่าขนส่ง” จุดเล็ก ๆ นี้สร้างความประทับใจในวงกว้าง และทำให้ลูกค้าเห็นว่าพสุธาราไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่คือ “เพื่อน” ที่พร้อมยืนเคียงข้างพวกเขาในยามลำบาก

จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจริงนั้นไม่ได้เติบโตเพียงลำพัง หากชุมชนรอบข้างยังอ่อนแอ ธุรกิจก็ยากที่จะไปต่อได้อย่างมั่นคง การมีเครือข่ายที่เกื้อกูลกันจึงกลายเป็นเสาหลักของความยั่งยืน หลักการแบ่งปันที่พสุธารายึดถือมาตลอดทำให้เกิด “ทุนทางสังคม” ที่เงินซื้อไม่ได้ แต่สะสมเป็นความไว้ใจและความผูกพันระหว่างผู้คนอย่างลึกซึ้ง และนั่นคือสิ่งที่ต่อยอดกลับมาเป็นพลังหนุนธุรกิจในระยะยาว


“อาชีพเกษตรกรสำหรับอ้อยคือเส้นทางที่มั่นคงไม่น้อยไปกว่าอาชีพใด

ถ้าเราทำด้วยความรัก ความรู้ และความรับผิดชอบ เราสู้ต่างประเทศได้แน่นอน” 


จากแพสชันเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองว่าไม่น่าจะไปรอด วันนี้ พสุธารากลายเป็นธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ที่ยืนหยัดได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันผลผลิตเลมอนและสินค้าที่แปรรูปถูกส่งออกไปยังญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดที่ขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานเข้มงวด นั่นคือการยืนยันอย่างชัดเจนว่า คุณภาพของพสุธาราไม่ได้อยู่แค่ในสายตาคนไทย แต่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ไม่เพียงเท่านั้น คุณอ้อยยังได้รับรางวัล “นักธุรกิจสตรีอนุรักษ์โลกตัวอย่าง” จากสมาพันธ์สตรีและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ซึ่งตอกย้ำว่าแนวคิดการทำเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างคือมาตรฐานใหม่ของการทำธุรกิจที่โลกให้ความสำคัญ

พสุธาราได้กลายเป็นกรณีศึกษาให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SME จำนวนมาก ทั้งในไทยและต่างชาติที่เดินทางมาศึกษา ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือ ที่นี่คือตัวอย่างของ Smart Farmer ที่สร้างระบบธุรกิจครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ จากการปลูก แปรรูป ไปจนถึงการตลาดออนไลน์และการสร้างชุมชนผู้สนับสนุน

ความสำเร็จทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากเงินทุนมหาศาล แต่เกิดจากแพสชันที่ลงมือทำจริง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการแบ่งปันที่จริงใจ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ SME ไทยทุกคนสามารถหยิบไปใช้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหนก็ตาม และทั้งหมดนี้สะท้อนกลับมาสู่ปรัชญาเรียบง่ายของคุณอ้อยที่ว่า

“เพราะเราเชื่อว่า…พืชคือยาของเรา”



Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

“พสุธารา” เปลี่ยนแพสชันเล็ก ๆ เป็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตร

“พสุธารา” เปลี่ยนแพสชันเล็ก ๆ เป็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตร

หลายครั้ง จุดเปลี่ยนของชีวิตไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่โต แต่อาจเริ่มต้นจากสัญญาณเล็ก ๆ ที่ทำให้เราหันกลับมาทบทวนการใช้ชีวิตของตัวเอง สำหรับ…
pin
2 | 19/09/2025
“ลู่วิ่งใต้น้ำเพื่อสัตว์เลี้ยง” นวัตกรรมฝีมือสัตวแพทย์ไทยที่ไปไกลถึง SEA

“ลู่วิ่งใต้น้ำเพื่อสัตว์เลี้ยง” นวัตกรรมฝีมือสัตวแพทย์ไทยที่ไปไกลถึง SEA

ปัจจุบัน สัตว์เลี้ยงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงแค่ “สัตว์” แต่เป็นเหมือน “สมาชิกในครอบครัว” จึงไม่น่าแปลกใจที่ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง…
pin
2 | 17/09/2025
“หมี่กรอบจีนหลี” ตำนานกว่า 130 ปี กับแนวคิด “ทำเหมือนเดิมให้ดีที่สุด”

“หมี่กรอบจีนหลี” ตำนานกว่า 130 ปี กับแนวคิด “ทำเหมือนเดิมให้ดีที่สุด”

การจะทำให้ธุรกิจยืนหยัดอยู่ได้นานนับศตวรรษโดยไม่สูญเสียตัวตนเดิม ไม่ใช่สิ่งที่ทุกแบรนด์สามารถทำได้ แต่ “หมี่กรอบจีนหลี” คือหนึ่งในตำนานที่สามารถหล่อหลอมอดีตและปัจจุบันให้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างมั่นคงร้านอาหารเล็ก…
pin
5 | 31/08/2025
“พสุธารา” เปลี่ยนแพสชันเล็ก ๆ เป็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตร