เข้าใจความหมายของ Net Zero แตกต่างจาก Carbon Neutral อย่างไร พร้อมเหตุผลที่ SME ไทยควรเริ่มปรับตัว เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและรองรับอนาคตที่ยั่งยืน
Content Summary:
Net Zero คือ เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สมดุลกับการดูดซับในธรรมชาติ ไม่ใช่การไม่ปล่อยเลย แต่คือการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เกิดคาร์บอนส่วนเกินในชั้นบรรยากาศ
SME ไทยสามารถเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ได้ทันที เช่น การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ หรือการปรับปรุงการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การมุ่งสู่ Net Zero ไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุน และเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้มีเพียงเรื่องของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเท่านั้น ทว่ายังมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อนที่ทำให้ฤดูกาลผิดเพี้ยน ภัยแล้งที่กระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตร ไปจนถึงน้ำท่วมฉับพลันในเขตเศรษฐกิจหลัก สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นต้นทุนแฝงที่ธุรกิจทุกประเภทต้องเผชิญและบริหารจัดการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางวิกฤตดังกล่าว “Net Zero” คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่โลกธุรกิจกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังได้รับการผลักดันให้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ในหมู่บริษัทข้ามชาติหรือองค์กรขนาดใหญ่ แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในโลกหลังยุคคาร์บอนสูงด้วย
Net Zero คืออะไร?
Net Zero คือ ภาวะที่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) เท่ากับศูนย์ กล่าวง่าย ๆ ได้ว่า เป็นการบริหารจัดการการปล่อยคาร์บอนให้อยู่ในสมดุลกับการดูดซับกลับเข้าสู่ธรรมชาติหรือผ่านเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม เป้าหมาย Net Zero ของไทยไม่ได้หมายถึงการไม่ปล่อยคาร์บอนเลย แต่เน้นที่การลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้มากที่สุด และชดเชยเฉพาะในส่วนที่ไม่สามารถลดได้ ด้วยวิธีต่าง ๆ แทน เช่น การปลูกป่า หรือการใช้เทคโนโลยีดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ ซึ่งแนวคิดนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของความพยายามในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน
Net Zero เกิดจากแนวคิดใด?
Net Zero เกิดขึ้นจากรากฐานความเชื่อที่ว่า “การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อม” ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองจากในอดีตที่ว่าอุตสาหกรรมการผลิต หรือการขยายตัวของธุรกิจจำเป็นต้องสร้างผลกระทบต่อโลกในระดับหนึ่งเสมอ
ในทางตรงกันข้าม แนวคิดของ Net Zero เชื่อว่า เราสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Growth ได้ หากมีการบริหารจัดการทรัพยากรและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด พลังงานหมุนเวียน และระบบการผลิตที่ลดของเสียสู่อากาศให้น้อยที่สุด หรือสามารถดูดซับกลับคืนได้ในปริมาณที่เท่ากัน
กล่าวคือ Net Zero ไม่ใช่แค่เป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม แต่คือแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความรับผิดชอบต่อโลก แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศจำนวนมาก โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero จะช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว โดยไม่ทิ้งภาระไว้ให้โลกในอนาคต
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Carbon Neutral กับ Net Zero
แม้ทั้งสองแนวคิดจะมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีความแตกต่างในแนวทางการดำเนินงานอย่างชัดเจน ดังนี้
Carbon Neutral คือ การชดเชยปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมา ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เช่น การซื้อคาร์บอนเครดิต หรือการลงทุนในโครงการที่ดูดซับคาร์บอน แต่ไม่ได้เน้นที่การลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรงจากแหล่งกำเนิด
Net Zero คือ แนวทางที่มุ่งเน้นการ “ลด” การปล่อยคาร์บอนจากต้นทางเป็นอันดับแรก และใช้การชดเชยเป็นทางเลือกสุดท้าย เฉพาะในส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
เหตุผลที่ธุรกิจทั่วโลกควรมุ่งสู่ Net Zero มีอะไรบ้าง?
การมุ่งสู่ Net Zero นอกจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่องค์กรยุคใหม่ต้องเร่งนำมาปรับใช้ก่อนจะสายเกินไป ด้วยเหตุผลที่สำคัญหลายประการ ได้แก่
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งกำลังกลายเป็นวิกฤตระดับโลกที่กระทบต่อทุกอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจ SME
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และมีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากองค์กรที่มีแนวทางด้านความยั่งยืนชัดเจน
ธนาคารและนักลงทุนเริ่มนำเกณฑ์ ESG มาใช้ เพื่อประเมินความเสี่ยงและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ซึ่งส่งผลต่อโอกาสในการขอสินเชื่อ SME หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ซัปพลายเชนในระดับนานาชาติเริ่มมีข้อกำหนด ให้คู่ค้าหรือผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานต้องมีแผนและนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero เพื่อรักษามาตรฐานและภาพลักษณ์ของแบรนด์ในตลาดโลก
การก้าวเข้าสู่ Net Zero จะส่งผลต่อภาคธุรกิจอย่างไร?
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่กำลังก้าวเข้าสู่เส้นทาง Net Zero แน่นอนว่าจะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะใน 5 ด้านสำคัญต่อไปนี้
เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ในตลาดที่ผู้บริโภคและคู่ค้าให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ธุรกิจที่สามารถสื่อสารเป้าหมายด้าน Net Zero ได้อย่างชัดเจน ย่อมได้เปรียบในการสร้างความเชื่อมั่น
ลดต้นทุนในระยะยาว การปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือการบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และลดความเสี่ยงจากราคาคาร์บอนที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อสีเขียวในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หรือเงินทุนสนับสนุนจากโครงการภาครัฐและภาคเอกชนที่ผลักดันแนวทาง Net Zero
เตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ ซึ่งมีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสูง
ต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ในยุคเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริการที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอน หรือการร่วมมือกับองค์กรอื่นใน Ecosystem เดียวกัน
เป้าหมาย Net Zero ของไทยและความสำคัญสำหรับ SME
ประเทศไทยประกาศจุดยืนชัดเจนในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของไทยภายในปี 2608 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ ดังนั้น ภาคธุรกิจทุกระดับจึงต้องมีบทบาทในการขับเคลื่อนภารกิจนี้ โดยเฉพาะ SME ที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ
แล้ว Net Zero มีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการเริ่มทำได้ทันที? ณ วันนี้ ธุรกิจสามารถลงมือทำได้หลายอย่างเพื่อปฏิบัติตามแนวทาง Net Zero ไม่ว่าจะเป็นการวัดและติดตามการปล่อยคาร์บอนในกิจกรรมของธุรกิจ การใช้พลังงานทดแทน การรีไซเคิลวัสดุ การเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต หรือแม้แต่การร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับตัวให้ทันต่อกระแสโลก และสามารถวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ อาจไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดในคราวเดียว แต่ก็ควรมีเป้าหมายชัดเจนและต่อเนื่อง
บทสรุป
ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ก่อน ย่อมมีโอกาสในการแข่งขันที่สูงกว่า ทั้งในด้านต้นทุน ภาพลักษณ์ และความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า นักลงทุน หรือแม้แต่สถาบันการเงินที่กำลังหันมาพิจารณาปัจจัยด้าน ESG มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น ผู้ประกอบการ SME ไทยจึงควรตระหนักว่า Net Zero ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่กลับเป็นถึงโอกาสในการยกระดับธุรกิจให้สอดรับกับทิศทางของโลก การเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร หรือการเลือกใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ข้อมูลอ้างอิง
การตั้งเป้าหมายของไทยเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามแนวทางจากการประชุม COP26. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.nxpo.or.th/th/9651/.
Why SMEs must prepare for the green economy. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.bangkokpost.com/business/general/2804764/why-smes-must-prepare-for-the-green-economy.
What is the difference between carbon-neutral, net-zero and climate positive?. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 จาก https://plana.earth/academy/what-is-difference-between-carbon-neutral-net-zero-climate-positive.
The Importance of Net Zero for Businesses?. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.vadimap.com/blog/the-importance-of-net-zero-for-businesses-a31.