ธุรกิจครอบครัวใช้ OKR อย่างไร ให้เข้าใจตรงกันทั้งสองเจเนอเรชัน
การสานต่อกิจการในธุรกิจครอบครัวมักไม่ใช่เพียงเรื่องของความไว้ใจหรือความผูกพันทางสายเลือดเท่านั้น หากแต่คือความท้าทายในการบริหารระหว่างสองเจเนอเรชัน ที่มีประสบการณ์ วิธีคิด และมุมมองในการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเข้าใจเป้าหมายตรงกัน และติดตามความก้าวหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ OKR หรือ Objectives and Key Results ซึ่งประยุกต์ใช้ได้ตั้งแต่ระดับองค์กร ทีม จนถึงรายบุคคล โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวที่ต้องการเป้าหมายโปร่งใสและความร่วมมือระหว่างรุ่น
OKR คืออะไร และเหมาะสำหรับธุรกิจครอบครัวอย่างไร?
OKR คือ กรอบความคิดในการกำหนดเป้าหมาย (Objective) และผลลัพธ์หลัก (Key Results) ที่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน แนวคิดนี้มุ่งเน้นการโฟกัสเป้าหมายให้ทั้งองค์กรและทีมทำงานในทิศทางเดียวกัน พร้อมติดตามความคืบหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยจุดเด่นของการทำ OKR ไม่ได้อยู่ที่ว่าผลลัพธ์จะสำเร็จหรือไม่ แต่อยู่ที่การ “สร้างความเข้าใจร่วมกัน” ว่าแต่ละฝ่ายกำลังมุ่งไปที่เป้าหมายได้ และจะเดินไปด้วยวิธีไหน
ในบริบทของธุรกิจครอบครัว การนำ OKR มาใช้สามารถช่วยลดความคลุมเครือระหว่างเจเนอเรชันได้อย่างมาก ดังนี้
Objective เปรียบเสมือน “เส้นชัย” ที่รุ่นพ่อและรุ่นลูกต้องยึดถือร่วมกัน เช่น การขยายฐานลูกค้า หรือการเพิ่มยอดขาย
Key Results เปรียบเสมือน “เส้นทาง” ที่จะพาไปถึงเส้นชัยนั้น พร้อมเกณฑ์วัดผลที่ชัดเจน ซึ่งสามารถติดตามและปรับปรุงได้ตามจริง
ฉะนั้น เมื่อทั้งสองเจเนอเรชันเข้าใจตรงกันว่า “เป้าหมายร่วม” และ “ตัวชี้วัดความสำเร็จ” คืออะไร ก็จะช่วยลดความขัดแย้งในการตัดสินใจ และส่งเสริมให้การสื่อสารภายในธุรกิจครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
วิธีการทำ OKR สำหรับธุรกิจครอบครัว
การทำ OKR สำหรับธุรกิจครอบครัวไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่ระดับผู้บริหาร แต่แนะนำให้เริ่มจากการสร้างฉันทามติระหว่างรุ่นพ่อ-รุ่นลูก ก่อนจะถ่ายทอดไปสู่ทีมงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันทั้งองค์กร โดยมีแนวทางที่ควรพิจารณา ดังนี้
1. ตั้ง Objective ร่วมกันอย่างโปร่งใส
การเริ่มต้นที่ดีต้องมาจากการประชุมหารือร่วมกันก่อน เพื่อนำข้อมูลจากทั้งสองเจเนอเรชันมาใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น ฝั่งรุ่นพ่ออาจเสนอเป้าหมายที่เน้นความมั่นคงของธุรกิจ ส่วนฝั่งรุ่นลูกอาจเสนอเป้าหมายที่เน้นการขยายตลาดหรือนวัตกรรม ทั้งนี้ การตั้ง Objective ต้องเป็นจุดที่ทั้งสองฝ่าย “เชื่อมั่นร่วมกัน” ว่าจะสามารถนำพาธุรกิจครอบครัวก้าวไปข้างหน้าได้จริง
2. แตก Key Results ให้ชัดเจนและวัดผลได้จริง
หลังจากมีเป้าหมายใหญ่แล้ว ควรกำหนด Key Results ที่เป็นรูปธรรม มีกรอบเวลาชัดเจน และสามารถวัดผลได้จริง เช่น หาก Objective คือ การขยายสาขา 2 แห่งภายใน 1 ปี
Key Result 1: หาทำเลใหม่ที่เหมาะสมภายในไตรมาสแรก
Key Result 2: เปิดสาขาแรกพร้อมทีมงานภายในไตรมาส 2
Key Result 3: มียอดขายเดือนแรกมากกว่า 300,000 บาท
3. ประชุม OKR อย่างสม่ำเสมอ
อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือรายไตรมาส เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของแต่ละ Key Results พร้อมระบุปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น และหาแนวทางสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยสิ่งสำคัญคือการใช้ข้อมูลจริง ไม่ใช่เพียงความรู้สึกส่วนตัว เพื่อป้องกันการโต้แย้งโดยไม่มีหลักฐานรองรับ
4. แบ่งบทบาทตามความถนัดของแต่ละรุ่น
การทำ OKR สำหรับธุรกิจครอบครัวไม่จำเป็นต้องให้ทุกฝ่ายรับผิดชอบทุกเรื่อง แต่ควรส่งเสริมตามศักยภาพของแต่ละรุ่น เช่น รุ่นพ่อ เน้นดูภาพรวม วิเคราะห์ความเสี่ยง และตัดสินใจลงทุน ส่วนรุ่นลูกอาจรับผิดชอบการทำงานในภาคปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาดออนไลน์ การพัฒนาบริการ ไปจนถึงการติดตามผลลัพธ์ เมื่อบทบาทชัดเจนและเชื่อมโยงกับ Key Results ได้อย่างลงตัวแล้ว ก็จะทำให้แต่ละฝ่ายรู้ว่าตนเองต้องขับเคลื่อนสิ่งใดเพื่อให้ OKR ของธุรกิจครอบครัวสำเร็จตามเป้า
ตัวอย่างการวาง OKR ร่วมกันในธุรกิจครอบครัว
กรณีศึกษา: ธุรกิจตกแต่งภายใน (Interior Design)
จากกิจการดั้งเดิมที่บริหารโดยรุ่นพ่อ ปัจจุบัน ได้มีการถ่ายโอนงานบางส่วนให้รุ่นลูกเข้ามารับช่วงต่อ โดยเป้าหมายของปีนี้คือ “เพิ่มรายได้จากโปรเจกต์ขนาดกลางให้ได้ 20% ภายในสิ้นปี” ซึ่งเป็นการตั้ง Objective ที่ทั้งสองเจเนอเรชันเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะสมและมีโอกาสเป็นไปได้
สำหรับ Key Results ที่กำหนดร่วมกัน ได้แก่
รุ่นลูกพัฒนาเว็บไซต์พอร์ตใหม่ภายในไตรมาส 1 เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
รุ่นพ่อเป็นผู้คัดกรองลูกค้าเป้าหมายและช่วยปิดดีลในช่วงเสนอราคา
ทั้งสองเจเนอเรชันเข้าไปประชุมกับลูกค้ารายใหญ่ร่วมกัน เพื่อเพิ่มโอกาสปิดงาน
ติดตามยอดขายรายเดือนและปรับแผนการตลาดตามข้อมูลจริง
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการทำ OKR ร่วมกัน ได้แก่
ยอดขายเพิ่มขึ้นเกินกว่า 20% ภายในไตรมาสที่ 3
ความสัมพันธ์การทำงานภายในธุรกิจครอบครัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าตนเองมีบทบาทสำคัญและได้รับการยอมรับจากอีกฝ่าย
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า การทำ OKR สำหรับธุรกิจครอบครัว นอกจากจะช่วยวัดผลธุรกิจได้แล้ว ยังถือเป็นเครื่องมือในการประสานความคิดระหว่างรุ่นได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย
บทสรุปและแนวทางสู่ความสำเร็จ
การทำ OKR สำหรับธุรกิจครอบครัว ไม่ใช่แค่เทคนิคบริหารเป้าหมาย แต่คือกระบวนการที่ช่วยสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และความร่วมมือระหว่างรุ่นพ่อและรุ่นลูกได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างทางความคิด และทำให้การส่งต่อธุรกิจเป็นไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยแนวทางสู่ความสำเร็จต่อไปนี้
เริ่มต้นจากการรับฟังซึ่งกันและกันก่อนตั้งเป้าหมาย
แปลงเป้าหมายใหญ่ให้กลายเป็น Key Results ที่สามารถวัดผลได้จริง
ประชุมเพื่อติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ และหมั่นปรับปรุงแผนงานภายใต้ความยืดหยุ่น
ทั้งสองเจเนอเรชันต้องเคารพจุดแข็งของกันและกัน พร้อมแบ่งงานให้เหมาะสม
เมื่อทั้งสองเจเนอเรชันมีเป้าหมายเดียวกัน มีเส้นทางที่ชัดเจน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน ธุรกิจครอบครัวก็จะไม่ใช่เพียงแค่ “ธุรกิจ” แต่เป็น “องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยหัวใจของสองเจเนอเรชัน” หากสามารถฝึกใช้ OKR ให้เป็นระบบได้ตั้งแต่วันนี้ ธุรกิจครอบครัวก็จะพร้อมรับมือกับการเติบโตที่มีเป้าหมายชัดเจน มีทิศทางเดียวกัน และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างคนในครอบครัว นำไปสู่ความมั่นคงที่ไม่ใช่แค่รุ่นเดียว แต่ยั่งยืนได้ในระยะยาวจากรุ่นสู่รุ่นอย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิง
Succession Planning Using OKR Leadership: A case study. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 จาก https://ffipractitioner.org/succession-planning-using-okr-leadership-a-case-study/.
Leveraging BSC & OKR Frameworks to Enhance Accountability in Growing Family-Owned Businesses. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 จาก https://peopleequation.io/article/leveraging-bsc-okr-frameworks-to-enhance-accountability-in-growing-family-owned-businesses/.
How OKR helps family-owned businesses survive. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.perdoo.com/resources/blog/family-business-succession.
1 OKR example for Succession Planning. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.tability.io/templates/tags/succession-planning.