ปี 2563 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับสิงคโปร์ ที่ต้องพยุงเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด 19 อย่างทุลักทุเล โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) หดตัว 5.8% สูงสุดนับตั้งแต่ได้รับเอกราชมาเมื่อปี 2508 และรุนแรงกว่ายุควิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากวิกฤตโควิดกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคก่อสร้างหดตัว 33.7% ขณะที่การบริการหดตัว 7.8% จากการบิน การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบวกเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 จากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการผ่อนปรนหลังสิ้นสุดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 หรือ Circuit Breaker โดยปัจจุบันสิงคโปร์ได้เปิดประเทศระยะที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2563
ซึ่งนั่นทำให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 ฟื้นตัว อาทิ ภาคอุตสาหกรรมดีขึ้น 3.3% ขณะที่ภาคบริการยังคงหดตัว 8.4% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในจำนวนนี้มีกลุ่มบริการข้อมูลและการสื่อสาร กลุ่มการเงินและการประกันภัย และกลุ่มบริการธุรกิจปรับตัวดีขึ้น 0.2% สวนทางกับภาคบริการอื่นๆ ที่ยังคงหดตัว ทั้งบริการค้าส่ง ค้าปลีก ภาคการขนส่งและคลังสินค้า และกลุ่มที่พักอาศัย บริการด้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มบริการข้อมูลและการสื่อสารเติบโตมากขึ้น เป็นผลเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่หลังโควิดที่เรียกกว่า New Normal ซึ่งมีการสื่อสาร และการขนส่ง การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เติบโตขึ้น ซึ่งนำมาสู่การสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ
ข้อมูลในการสัมมนา Amazon Singapore Online Seller Summit 2020 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 มกราคม ที่ผ่านมา โดยบริษัท Amazon ร่วมกับรัฐบาลสิงคโปร์ จัดขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีของสิงคโปร์
ภายในงานนี้ “นายชาน ชุน ซิง “ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ ระบุว่า สถานการณ์โควิด 19 เป็นปัจจัยเร่งให้มูลค่ายอดขายอี-คอมเมิร์ชเติบโตมากขึ้น โดยในปี 2563 มีมูลค่า 6,024 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีมูลค่า 4,906 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 14.8% ของมูลค่าค้าปลีกรวม จากเดิมที่มีมูลค่าคิดสัดส่วน 5.8% ของมูลค่าค้าปลีกรวม
โดยทางรัฐบาลสิงค์โปร์มีนโยบายมุ่งส่งเสริมผู้ประกอบการให้แข็งแกร่ง โดยได้วางกลยุทธ์ในการดำเนินการ 5 ด้าน คือ
1) รัฐบาลเตรียมเปิดตัวเครือข่าย 5G ทั่วประเทศภายในปี 2568 เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับยอดคำสั่งซื้อทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสิงคโปร์จะเร่งพัฒนาปรับใช้ช่องทางดิจิทัลต่างๆ เช่น e-Invoice เพื่อให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางอี-คอมเมิร์ซ
2) การสนับสนุนระบบบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้ความชำนาญเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ซัพพลายเชน เพื่อรักษามาตรฐานสากล
3) การเพิ่มความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ ปกป้องธุรกิจจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นไปตามความตกลง Digital Economy Agreements (DEAs) ที่ลงนามร่วมกับหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี ไปแล้ว
4) การเพิ่มขีดความสามารถของเอสเอ็มอีเพื่อให้พร้อมเข้าสู่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ชระดับสากล
5) การบังคับใช้นโยบายของรัฐในสถานการณ์โควิด 19 ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อประคองสถานการณ์ ไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงัก
ด้วยเหตุนี้หากเศรษฐกิจสิงคโปร์กลับมาฟื้นตัวได้ โดยอาศัยกลไกธุรกิจบริการด้านอีคอมเมิร์ซเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน นี่ก็จะเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะรุกสู่ตลาดสิงคโปร์ด้วยการใช้ช่องว่างออนไลน์สร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต