คนจีนรุ่นใหม่ฮิตซื้อสินค้าต่างประเทศผ่านออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือ
ไทย เนื่องจากในสายตาของผู้บริโภคมีความเชื่อถือในเรื่องของคุณภาพสินค้าที่ได้มาตราฐานสากล
แตกต่างกับสินค้าจีนมีของปลอมเยอะมาก แต่เมื่อมาเทียบสินค้าจากเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
แล้วดูเหมือนว่าสินค้าจากไทยจะได้รับความนิยมมากที่สุด
เนื่องจากชาวจีนเองชื่นชอบประเทศไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
บวกกับราคาของสินค้าที่สมเหตุสมผลและดูไม่แพงจนเกินไปเมื่อเปรียบเทียบจากประเทศอื่น
นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการชาวไทย
ในการที่จะนำสินค้าไปตีตลาดที่ประเทศจีน ซึ่งสินค้าไทยที่ชาวจีนนิยมใช้ ได้แก่
1. อาหาร ขนมต่าง หรือผลไม้อบแห้ง
2 .เครื่องสำอาง แบรนด์ไทยที่ราคาไม่แพงจนเกินไป
3. ของใช้ประจำวันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาดม หรือยาอมยี่ห้อตะขาบ 5 ตัว ยาหม่องลิงถือลูกท้อ เป็นต้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สินค้าเหล่านั่น คือสินค้ายุคทองรุ่นบุกเบิกตลาดจีน
กระแสตอบรับอย่างล้นหลามและยังขายดิบขายดีจนทุกวันนี้ แต่ในช่วงปี 2020 หรือ ปี
2563 กำลังจะกลายยุคทองของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก(SMEs)ไทยก็ว่าได้
เมื่อ “เถาเป่า
โกล บอล” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเว็บซื้อขายสินค้าออนไลน์ “เถาเป่า
มาร์เก็ตเพลส” ในเครืออาลีบาบา ได้เลือกประเทศไทยในการเปิดโครงการระดับโลกใหม่ล่าสุด
นั่นก็คือโครงการ “โปรเจค แมคเจลแลน” เฟ้นหาสินค้าแบรนด์นอกประเทศจีนครั้งแรก ตามสโลแกนที่ว่า
“จิ๋วแต่แจ๋ว”
โดยมุ่งเน้นคัดสรรคเอาผลิตภัณฑ์จากแบรนด์
แปลกใหม่ คุณภาพคับแก้วจากผู้ผลิตรายย่อยโดยตรง ซึ่งโครงการดังกล่าว “เถาเป่า
โกลบอล” ต้องการช่วยเหลือให้ SMEs ไทยที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเติบโตใน “ตลาดอี-คอมเมิร์ซ”
ของจีน ซึ่งเถาเป่า โกลบอล ได้ลงนามเซ็นสัญญากับกรมการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันดำเนินการคัดเลือกแบรนด์สินค้าไทยนำร่องประมาณ 100 ราย นำสินค้าไปขายบนแพลตฟอร์ม เถาเป๋า โกลบอล เพื่อเจาะตลาดคนจีนรุ่นใหม่ที่กำลังนิยมสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์
ดึง”ดารา-อินฟลูเอ็นเซอร์”สร้างแบรนด์-โปรโมตสินค้า
ปัจจุบันประเทศไทยมีแบรนด์ที่ผลิตสินค้าออกสู่ท้องตลาดจำนวนมาก
แต่กลับยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ อุปสรรคดังกล่าว เหยา
เหว่ย ผู้อำนวยการ เถาเป่า โกลบอล สะท้องมุมมองให้เห็นว่า เป็นเพราะผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังทำการตลาดอยู่ในขีดจำกัด
และยังอยู่ในกรอบการตลาดแบบดั้งเดิม ทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ได้ทั่วถึง
การที่ “เถาเป่า โกลบอล” นำแบรนด์สินค้า 100
รายการจากไทยไปทำตลาดในจีน จะเน้นการทำตลาดเชิงรูปแบบใหม่ผ่านออนไลน์เป็นหลัก
นอกจากดึงดาราและอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังชาวจีน ช่วยสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าเป็นที่รู้จักแพร่หลายแล้ว
ทางเถาเป่ายังจะให้การสนับสนุนในการสร้างธุรกิจผ่านบายเออร์ หรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์
ซึ่งเถาเป่าเข้าถึงผู้ติดตามชาวจีนกว่า 100 ล้านคน และยังจะช่วยโปรโมตสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย
และไลฟ์สตรีม ตลอดทั้งกระตุ้นยอดขายให้กับ 100 แบรนด์จากไทยให้มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกเดือน
“สาเหตุที่เลือกไทยเป็นประเทศแรกในชาติอาเซียน
เพราะความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่มีความสนิทแน่นแฟ้นมายาวนานมากกว่า 150 ปี
ขณะเดียวกันคนจีนส่วนใหญ่นิยมมาท่องเที่ยวในไทยเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคนี้ และที่สำคัญชาวจีนนิยมชื่นชอบสินค้าไทยเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าสินค้าไทยมีคุณภาพดี การนำสินค้าไปทำการตลาดจีนจึงเป็นเรื่องง่าย
เพราะสินค้าจากไทยผู้บริโภคจีนให้การยอมรับเป็นอย่างดีถึงคุณภาพเทียบมาตรฐานสากล”
ดันแบรนด์ไทยขายบนแพลตฟอร์มเถาเป่า 25%
สิ้นปีนี้
เป้าหมายการทำตลาด เหย่า เหวย บอกว่า จะเพิ่มจำนวนแบรนด์สินค้าไทยที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มเถาเป่าอย่างน้อย
25% ภายในสิ้นปีนี้ นั้นปีต่อๆ ไปขยายให้ครบ 100 % โดยกลุ่มสินค้าของ SMEs ที่เถาเป่ามุ่งเน้นขายเป็นอันดับแรก
อาทิ หมอนยางพารา ที่นอนยางพารา ผลไม้อบแห้ง และเครื่องสำอาง
ควบคู่กับการทำตลาดกลุ่มแบรนด์สินค้าต่างๆ ในจำนวน 100 ราย เจาะกลุ่มผู้ซื้อของเถาเป่า
ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดตั้งแต่ปี 2538 ขึ้นไป
มีความเป็นตัวของตัวเองสูงและชื่นชอบแบรนด์ใหม่ๆ ที่ไม่ซํ้าใคร ซึ่งที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ในจีนต่างมองหาผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่น่าใช้และมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น
“เราเชื่อว่าสินค้าไทยจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีแบรนด์จำนวนมากที่ผลิตสินค้าออกมาน่าสนใจ แต่ทุกวันนี้กลับยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในตลาดจีน
เราเชื่อว่าเมื่อมีการนำคู่แบรนด์สินค้าจากไทยไปวางขาย บนแพลตฟอร์มของเถาเป่าจะดันยอดขายเติบโตอย่างแน่นอน
เพราะทางเถาเป่ามีเครื่องมือดิจิทัล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกว่าสินค้าตัวไหนขายดีไม่
สินค้าตัวไหนลูกค้าชื่นชอบเป็นพิเศษ และยังสามารถค้นหาความต้องการของลูกค้าจีนและจุดประกายให้ลูกค้าทดลองสินค้าสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์เด็ดทางการตลาดทางลัด ให้ผลักดันแบรนด์ SMEsของไทยก้าวเข้าสู่ “เถาเป่า
มาร์เก็ตเพลส”ต่อไป ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์บนมือถือที่ขนาดใหญ่ที่สุดของจีนได้อย่างรวดเร็ว”
ปัจจุบัน เถาเป่า โกลบอล มีบายเออร์เกือบ 400 คนในประเทศไทย ซึ่งสินค้าที่มีวางจำหน่ายมากที่สุดบนเถาเป่า โกลบอล คือเครื่องนอน ความงาม และอาหาร โดยเถาเป่ามียอดซื้อขายออนไลน์ (GMV) เกิน 1 แสนล้านหยวนต่อปี มีแบรนด์เข้าร่วมกว่า 1-1.2 แสนแบรนด์ จำนวนผู้ใช้ในจีน 100 ล้านคน โดยวางเป้าภายในปีนี้เพิ่มเป็น 120 ล้านคน
มิติใหม่
SMEs แบรนด์สัญชาติไทยโอกาสทองโกยเงินหยวน
นับเป็นมิติใหม่แห่งการค้าสู่โลกดิจิทัลอย่างแท้จริง
การทำตลาดผ่าน เถาเป่า โกลบอล คุณสมเด็จ
สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
เชื่อว่าจะสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทยฉีกหนีกรอบการค้าแบบดั้งเดิม ก้าวเข้าสู่การค้าขายออนไลน์แบบไร้พรมแดนแบบเต็มตัว
จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับเถาเป่าที่จะช่วยผลักดันมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน
ให้เติบโตแข็งแกร่ง เนื่องจากคนจีนรุ่นใหม่มากกว่า 90% สั่งซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์
สอดคล้องกับ คุณทวาวัลย์ พูนสิริรัตน์
ผู้ประกอบการ SMEs เจ้าของผลิตภัณฑ์แยมมัลเบอร์รีออร์และขนมถั่วเขียวอบแห้งออร์แกนิก
100% แบรนด์
”ONE” อ.ศรีรัตนะ
จ.ศรีสะเกษ เชื่อว่าหากนำแบรนด์สินค้าไทยไปจำหน่ายผ่านเว็บไซต์เถาเป่าอย่างจริง จะสร้างมูลค่าให้กับสินค้าไทยมหาศาล
เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่ซึ่งทุกวันนี้คนรุ่นใหม่มีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
และจะกลายเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย ได้ระบายสินค้าคุณภาพไปจำหน่ายยังประเทศจีนสร้างรายได้เข้าประเทศ
ซึ่งข้อดีที่เว็บไซต์ชื่อดังของจีนนำสินค้าไทยไปจำหน่าย ผ่านช่องทางออนไลน์มีแต่ผู้ประกอบการไทยได้ประโยชน์
นอกจากช่วยโปรโมทสินค้าไทยให้ตลาดจีนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายแล้ว
ยังเป็นการรันตีทางอ้อมว่าสินค้าไทยนั้นมีมาตราฐานสากล
เมื่อนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวประเทศไทยทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าแบรนด์ที่จะซื้อนั้นไม่ถูกหลอก
เพราะเคยพบเห็นและรับรู้แบรนด์ผ่านเว็บไซต์เถาเป๋า โกลบอล มาแล้ว
ในอนาคต 100 แบรนด์ไทยที่นำร่องส่งไปขายผ่าน เถาเปา โกลบอล จะช่วยต่อยอดให้สินค้าจากประเทศไทยอีกนับพันแบรนด์มีโอกาสเข้าไปแจ้งเกิด เจาะตลาดจีนรุ่นใหม่ นี่คือโอกาสทองที่ผู้ประกอบไทยจะได้ขยายตลาดจีนได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องทำตลาดเอง เพราะกว่าจะทำแบรนด์ให้รู้จักอย่างแพร่หลายต้องใช้เวลานาน