4 เทคนิคปรับ UX เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณอันดับดีขึ้น

SME in Focus
26/11/2020
รับชมแล้วทั้งหมด 1855 คน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในแต่ละวันที่โลกจริงกำลังเดินไปข้างหน้า โลกออนไลน์ก็ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปและธุรกิจต่างๆ มากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยอีกหนึ่งช่องทางออนไลน์ที่สำคัญต่อธุรกิจไม่แพ้สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เลย ก็คือ ‘เว็บไซต์’ นอกจากจะมีผลเกี่ยวกับเรื่องเป็นทางการ ดูน่าเชื่อถือแล้ว ยังมีผลต่อเรื่องการทำ SEO เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาบน Search Engine แล้วเจอได้ง่าย ซึ่งในปี 2021 ที่กำลังจะถึงนี้ คุณควรเริ่มที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงภายในเร็ววัน เมื่อ UX (User Experience) มีความสำคัญพอๆ กับ SEO

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme

Google ประกาศ User Experience จะมีผลต่อ SEO ในปี 2021

เรื่อง User Experience จะมีผลต่อ SEO ในปี 2021 นั้น ไม่ใช่เรื่องของการคาดการณ์วงในที่ทำการตลาดกัน แต่เป็นประกาศอย่างเป็นทางการจาก Google เมื่อประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคม ว่าระบบ ranking algorithm แบบใหม่ จะนำเอาผลของ UX หรือ User Experience มาเป็นเกณฑ์ร่วมกับการทำ SEO ด้วย โดยใช้ระบบ AI และ Machine Learning เข้ามาจัดลำดับในการเรียงลำดับ เพราะคอนเทนต์จะดีอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีด้วย เหมือนหนังสือที่เนื้อหามีประโยชน์ แต่หน้ากระดาษไม่ดี ปกไม่สวย สุดท้ายก็จะเป็นเพียงหนังสือดีที่ถูกวางทิ้งไว้บนตู้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องพัฒนาแพลตฟอร์มควบคู่ไปกับคอนเทนต์ โดยการมีผู้ใช้งานหรือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

การปรับ UX หรือ User Experience เพื่อเสริมการทำงาน SEO

เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถรับประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ขณะกำลังเข้าถึงคอนเทนต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น ให้การทำ SEO เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาจลองปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณสมบัติ ดังนี้

1. เข้าใจการทำงานของ Rank Brain

ก่อนที่คุณจะเริ่มปรับ UX บนเว็บไซต์ เพื่อเสริมการทำงาน SEO คุณควรที่จะเข้าใจก่อนว่า การจัด Rank ของ Google ทำงานอย่างไร โดยหลักคือมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่

- Clickthrough rate จำนวนคลิกเข้าหน้าเว็บไซต์

- Bounce rate การเคลื่อนไหวไปหน้าอื่นภายในเว็บไซต์คุณ

- Dwell time จำนวนระยะเวลาที่เข้าใช้งานในเว็บไซต์ของคุณ

โดยรวมแล้วหากมีจำนวนการคลิกเข้าหน้าเว็บไซต์คุณบ่อยครั้ง เมื่อเข้าไปแล้วมีการเคลื่อนไหวไปหน้าอื่นๆ ไม่ใช่เข้าหน้าเดียวแล้วออกจากเว็บ และใช้งานในระยะเวลาหนึ่ง ก็จะทำให้ Google ประมวลผลได้ว่า เว็บไซต์ของคุณมีประสบการณ์ใช้งานที่ดี

2. รองรับอุปกรณ์ครบทุกรูปแบบ

ปัจจุบันผู้ใช้งานมีการเข้าถึงโลกออนไลน์ผ่านเครื่องมือหลากหลายรูปแบบ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ดังนั้นการเตรียมดีไซน์หน้าเว็บไซต์ให้มีการตอบสนองต่อทุกรูปแบบ จะเป็นผลดีต่อประสบการณ์การเข้าใช้งานบนเว็บไซต์คุณ ทั้งในเรื่องของความเสถียรให้ใช้งานลื่นไหล, การแสดงผลบนหน้าจอมีความเหมาะสม อ่านง่าย สบายตา และเปลี่ยนการแสดงผลได้ไว ฯลฯ เพราะบางทีใช้โทรศัพท์มือถือไปเจอเว็บไซต์ที่แสดงผลแบบคอมพิวเตอร์ ก็ทำให้ใช้งานยากขึ้นกว่าจะเลื่อนไปกดปุ่มที่ต้องการ บางทีก็นานจนกดออกจากเว็บไซต์อาจจะสบายใจกว่า ซึ่ง Google จะตรวจสอบถึงการรองรับการใช้งานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ได้ที่โค้ดบนเว็บไซต์ของคุณ

3. สามารถแสดงผลและทำงานได้รวดเร็ว

ผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์มักชอบความไวเสมอ โดยเฉพาะกับเรื่องการแสดงผลและการทำงานบนเว็บไซต์ก็ควรทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ หรืออย่างน้อยเป็นไปตามมาตรฐานทั่วไป โดยการวัดจากเครื่องมือ https://developers.google.com/speed/pagespeed/insights/ หรือ https://gtmetrix.com/ ซึ่งหากคุณต้องการพัฒนาในส่วนนี้ ขอแนะนำให้ลองตรวจสอบโครงสร้างระบบเว็บไซต์หลังบ้าน ลองบีบอัดไฟล์หรือโค้ดต่างๆ ตามความเหมาะสม รวมถึงจัดรูปแบบเนื้อหาบนเว็บไซต์ และดีไซน์หน้าเว็บให้ไม่หนักจนเกินไป

4. มีปุ่มนำทางและโครงสร้างเว็บไซต์ที่น่าดึงดูดใจ

อีกหนึ่งตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าเว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ ก็คือการเคลื่อนไหวไปหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ และการใช้เวลานาน จึงควรมีปุ่มนำทางที่น่าสนใจให้กดไปยังหน้าต่างๆ และโครงสร้างเว็บไซต์ที่พร้อมดึงดูดใจให้ใช้งานอยู่ในแต่ละหน้านานๆ ทั้งนี้ควรมีจำนวนปุ่มแค่เพียงพอดี และไม่เข้าใจยากจนเกินไป เพราะหากมีปุ่มให้เลือกแบบเฉพาะจนเข้าใจยากเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้งานเลือกไม่ถูก และหันไปกดปิดหน้าเว็บไซต์ของคุณแทน

นอกจากนี้อย่าลืมคำนึงถึงการพัฒนาเนื้อหาคอนเทนต์ และการทำ SEO ควบคู่ไปด้วย เนื่องจากอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า UX หรือ User Experience กำลังจะมีความสำคัญพอๆ กับ SEO ซึ่งหมายความว่า ทั้งสองสิ่งมีความสำคัญเทียบเท่ากัน ไม่ควรมองข้ามสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ สามารถส่งเสริมประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ