เทคนิค SEO บน Marketplace ให้ร้านค้าของคุณติดอันดับต้นๆ

คำถามยอดฮิต ‘อยากขายดีบนออนไลน์ต้องทำอย่างไร?’ เป็นที่ทราบดีว่าในปัจจุบันอาชีพขายสินค้าออนไลน์กลายเป็นสมรภูมิเวทีการค้าโลกที่ทวีแข่งขันกันอย่างรุนแรง เนื่องจากเป็นอาชีพที่เริ่มธุรกิจได้ง่ายและสามารถสร้างรายได้ไวที่สุด โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โรคโควิด 19 คลี่คลายลง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต่างก็มุ่งสู่ถนนออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะไม่ต้องเช่าหน้าร้านราคาแพงเหมือนอดีต แต่ด้วยปริมาณผู้เล่นเป็นจำนวนมากดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ค้าหน้าใหม่ไม่สามารถทำยอดขายสินค้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่สำคัญยังกระโจนไปในสมรภูมิราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งใครๆ ก็รู่ว่าสมรภูมินี้ผู้รอดรายสุดท้ายก็อาจจะไม่แฮปปี้นัก

อย่างไรก็ตาม ปัญหายอดขายไม่เป็นไปตามคาดไว้เกิดมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน อาทิเช่น มีพ่อค้าแม่ค้าสินค้าประเภทเดียวกันมากเกินไป ตลอดทั้งการตัดราคาสินค้าแข่งขัน ทำให้เกิดผลกระทบต่อร้านค้าวงกว้างและลูกค้ามองไม่เห็นร้านค้า เป็นต้น

ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป หากเจ้าของร้านค้าหรือผู้ประกอบการนำเทคนิคการขายด้วยการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ผ่าน  Marketplace ซึ่งเป็น Platform สำหรับช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าออนไลน์ได้มาพบปะกัน

โดยในปัจจุบันมีทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งมาร์เก็ตเพลสที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย คือ Lazada และ Shopee เนื่องจากเป็นแพลทฟอร์มที่มีการใช้งานง่ายด้วย SEO นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ร้านค้าเป็นที่รู้จักและได้รับความเชื่อถือ ซึ่ง Marketplace จะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ค้าในการอัปเดตให้ร้านค้าสามารถทำ SEO ได้ไม่ยุ่งยาก แต่ที่ผ่านมาน้อยคนที่รู้ถึงความลับเทคนิคนี้ โดยวิธีการทำ SEO ให้กับร้านค้าบน Marketplace สามารถทำให้สินค้าของคุณติดอันดับต้นๆ บนโลกการค้าออนไลน์

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

4 ขั้นตอนทำ SEO ให้กับร้านค้านในมาร์เก็ตเพลส 

วิธีการทำ SEO ให้กับร้านค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้นไม่ยุ่งยากเพียงแต่ดังนี้

1. ตั้งชื่อสินค้า

โดยใช้ ‘Keyword’ ด้วยการตั้งชื่อสินค้าที่ดีต้องใช้ Niches keyword (คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจง) ผสมกับ Long tail keyword (คีย์เวิร์ดที่มีคำขยาย) เช่น รองเท้าบาสเกตบอลชาย เสื้อผ้าคนกลุ่มยุคใหม่ สินค้าแฟชั่น เป็นต้น โดย Keyword เหล่านี้ต้องเป็นคำที่มีคนค้นหาเยอะแต่การแข่งขันต่ำ ซึ่งสามารถหาได้โดยการใช้เครื่องมือ Keyword Research ที่ให้บริการมากมายทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย เมื่อได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการก็นำมาตั้งชื่อสินค้า และตามด้วยรายละเอียดสินค้า จะทำให้ชื่อสินค้ามีความน่าสนใจมากขึ้น

2. รูปภาพสินค้า

ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยดึงดูดสายตากลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น โดยเจ้าของร้านค้าเริ่มทำตั้งแต่การตกแต่งรูปสินค้นให้มีความน่าสนใจในตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ โดยอาจดูไอเดียการแต่งสินค้าจากสินค้ากลุ่มเดียวกันของร้านอื่นๆ ที่มียอดจำนวนผู้ซื้อเยอะ จากนั้นตั้งชื่อไฟล์ภาพด้วย Niches keyword

3. ทำ VDO รีวิวสินค้าให้สั้นกระชับ

วิธีนี้จะทำให้สินค้ามีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และยังทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนเห็นสินค้าจริง ซึ่งส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าตามมาอีกด้วย

4. เขียนคำอธิบายสินค้าให้ครอบคลุม

การเขียนรายละเอียดของสินค้าให้มีความชัดเจนตั้งแต่แรก จะทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาในการถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า โดยการเขียนคำอธิบายควรใช้ Keyword แทรกลงไปด้วย เพื่อให้สินค้าติดอันดับการค้นหาบนหน้าแรกของ Search Engine นอกจากนี้การเขียนคำอธิบายสินค้าที่ดี จะทำให้ร้านค้าดูน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย

แม้ว่าการนำ Keyword มาใช้ในการทำ SEO ให้กับร้านค้าจะเป็นเรื่องดี ช่วยกระตุ้นยอดขายและการเข้าถึงที่มากขึ้น แต่การใช้ Keyword ในคำอธิบายสินค้ามากเกินไป อาจทำให้กลายเป็นการสแปมคีย์เวิร์ด ซึ่งจะทำให้ร้านค้าเสียความน่าเชื่อถือและถูกลดอันดับในผลการค้นหาได้เช่นกัน

สินค้าแบบไหนทำอีคอมเมิร์ซแล้ว “เวิร์ก”

จากข้อของสำนักงานพัฒนาธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ประเมินว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีอัตราเติบโตปีละ 20% ส่วนทั่วโลกปี 2562 มีมูลค่ามากกว่า 3.8 ล้านล้านบาท แต่การทำตลาดอีคอมเมิร์ซก็ไม่ได้เหมาะกับสินค้าทุกประเภท และการมีช่องทางอีคอมเมิร์ซก็ไม่ใช่การเข้ามาแทนที่ช่องทางเดิม แต่เป็นการเข้ามาเสริมอีกช่องทาง คือ “เพิ่มยอดขาย” สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ช่องทางอีคอมเมิร์ซ “ไปได้ดี” ในกลุ่มผู้บริโภคไทย ที่นิยมซื้อสินค้าและบริการผ่านออนไลน์ในปี 2562 ประกอบด้วย ธุรกิจท่องเที่ยว, จองโรงแรม, สินค้าอิเลคทรอนิกส์, กล้องถ่ายรูป, แฟชั่นและบิวตี้, เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, ของเล่นและฮอบบี้, อาหารและเพอร์ซันนอลแคร์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับสินค้าและแบรนด์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซ จะมี 2 รูปแบบหลักๆ คือ มาร์เก็ตเพลสต่างๆ ที่ให้บริการอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นลาซาด้า, ช้อปปี้, เจดีเซ็นทรัล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำเร็จรูปให้สินค้าใช้งานได้ทันที และ “อีคอมเมิร์ซ สโตร์” หรือเว็บไซต์ของแบรนด์

ซึ่งประโยชน์ของ “มาร์เก็ต เพลส” คือเริ่มต้นได้ง่ายและการลงทุนต่ำ มีผู้ดูแลระบบอยู่แล้ว สามารถเข้าถึง (Reach) คนได้จำนวนมาก สามารถรองรับสินค้าได้จำนวนมาก ทำให้สินค้ามีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่ายขึ้น และทราฟฟิกจากมาร์เก็ตเพลสที่เข้ามายังเว็บไซต์ จะมีต้นทุนต่ำกว่า

ส่วนประโยชน์ของ “อีคอมเมิร์ซ สโตร์” ผ่านเว็บไซต์แบรนด์นั้น สามารถควบคุมขั้นตอนการทำงานได้เชื่อมโยงข้อมูลผสมผสานกับระบบเว็บหลังบ้าน การ Customized ระบบต่างๆ บนเว็บไซต์ทำได้ง่ายกว่าเว็บไซต์ สามารถเก็บข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าได้ เพื่อนำมาใช้เพิ่มยอดขายได้ และยังสามารถนำเสนอสินค้า จัดโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล ทำให้สามารถปรับแต่งข้อมูลเฉพาะบุคคล หรือการทำ Personalization ทั้งสินค้า โปรโมชั่น และราคาไปในทิศทางเดียวกัน

ปรากฏการณ์เติบโตของการซื้อของออนไลน์ กลายเป็นกระแสหลักให้ทุกธุรกิจต้องขยับตัวเข้าสู่ e-commerce อีกช่องทางขายในยุคออนไลน์บูม แต่การทำให้ได้ผลสำเร็จต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสินค้าใดเหมาะ เพราะ e-commerce อาจไม่ได้เป็นการทดแทนช่องทางขายเดิม แต่เป็นการเพิ่มยอดขายอีกทางหนึ่ง

สุดท้ายสำหรับเทคนิคในการทำอย่างไรให้ลูกค้าสนใจและขายดี คือการให้ความสำคัญในการบริการที่ดี จัดส่งที่รวดเร็ว ใส่ใจคุณภาพสินค้าในทุกรายละเอียด เพราะนั่นจะนำมาซึ่งการรีวิวสินค้าโดยผู้ซื้อเอง ซึ่งจะมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากที่สุดในสายตาคนที่กำลังมองหาสินค้า หากร้านคุณโดนรีวิวในแง่ลบมากๆ แน่นอนว่าลูกค้าที่เข้ามาอ่านรีวิวย่อมไม่มั่นใจและไม่กล้าซื้อสินค้าภายในร้านของคุณ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.southsidela.net

                                 https://www.etda.or.th  

สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<< 

Facebook Marketing ไม่ใช่เรื่องยาก ทุนน้อยก็ปั้นให้ปังได้ 

4 เทคนิคเลือกใช้โซเชียลมีเดียในการทำตลาดออนไลน์