โลกร้อนขึ้นทุกวันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
แต่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดโลกร้อนนั้นน้อยนักจะตระหนักรู้ได้ว่า แค่เพียงการเปิดคอม
เปิดแอร์ ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า สบู่ ยาสีฟัน เครื่องสำอาง รับประทานอาหาร ฯลฯ
ในชีวิตปกติประจำวันก็ตกเป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมได้โดยไม่รู้ตัว เพราะในทุกอุตสาหกรรมการผลิตที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์นั้นยากที่จะเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ
ไม่แม้แต่การปลูกพืชอาหารเลี้ยงประชากรโลก
ที่ต้องใช้พื้นที่ปลูก ดิน น้ำ ปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกล ฯลฯ ก็ยังมีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อมไปด้วย
ไม่ว่าพืชนั้นจะถูกนำไปปรุงแต่งในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม สุดท้ายแล้วก็จะมาสิ้นสุดที่การนำมาใช้ประโยชน์แก่มนุษย์นั่นเอง
ในสถานการณ์โลกร้อนที่เอื้อต่อการเกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นทั้งในคนและสัตว์ได้ง่ายนั้น ได้มีกลุ่มคน หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับการรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยหันมาสร้างภาพลักษณ์ไปจนถึงปรับผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้ให้เกิดในกลุ่มชน จนกลายมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดช่วยเสริมภาพลักษณ์อันดีให้แก่แบรนด์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เทคนิคสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ด้วยพลังรักษ์สิ่งแวดล้อม
การสร้างแบรนด์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นอาจใช้กลยุทธ์แบบเน้นไปที่การบริโภคอย่างยั่งยืน
และสร้างการจดจำแบรนด์ที่ดีให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้บริโภค โดยสร้างความรับรู้ว่าแบรนด์นี้เกิดขึ้นมาท่ามกลางความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงใจ
ด้วยภาพลักษณ์อันชัดเจน ภายใต้เทคนิคนี้
1. Green Business จากภายในสู่ภายนอก : ก่อนจะสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้คนอื่นจดจำได้ จะต้องเริ่มจากการทำความรู้จักตัวตนของแบรนด์ให้ท่องแท้ก่อนว่า
เราคือใคร ทำอะไร และตอบโจทย์ใครได้บ้าง ภายใต้กฎ 3 ข้อ คือ ทำไมผู้บริโภคต้องเลือกแบรนด์เรา,
แบรนด์เราจะโดดเด่นได้อย่างไร ,แบรนด์จะให้ประโยชน์อะไรกับผู้บริโภค
เพื่อประเมินตัวเองให้ขาด แล้วจะทำให้รู้ถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ชัดเจน ขณะเดียวกันภายใต้โจทย์การการปั้นแบรนด์ให้มีพลังจุดกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม
การออกแบบโลโก้ แพ็กเก็จจิ้งต่างๆ ต้องใส่ใจเรื่องความเป็น Green Business ด้วย
2. ยกระดับสู่ Green Marketing : แม้ในเรื่องของกลยุทธ์ CSR จะมีรูปแบบหลากหลายที่แต่ละองค์กรพยายามหยิบยกมาใช้
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกของธุรกิจยุคใหม่ คำว่า ‘Green’
ดูจะหนักแน่นและมีน้ำหนักมากว่าประเด็นอื่นๆ ด้วยกระแสของโลกร้อน Green Marketing ได้กลายเป็นโจทย์ให้องค์กรขนาดใหญ่และเล็กต่างนำไปคิดและตีความออกมาในรูปแบบของกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
บางองค์กรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ถึงขนาดตั้งงบและวางแผนในระยะยาว ที่จะใช้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในการแบรนดิ้งองค์กร
3. สร้างความความแตกต่างของแบรนด์ส่งต่อผู้บริโภค : นอกจากตัวตนของแบรนด์ การตลาดด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน
การสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้ผู้บริโภคตระหนักรู้ว่าแบรนด์ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นหน้าที่หลักที่ผู้ประกอบการจะต้องทำคือ การสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนในทุกจุดสัมผัส
เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและรู้สึกแตกต่าง เช่น
แบรนด์ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ให้คุณค่ากับการใช้วัสดุทดแทนไม้,
แบรนด์เครื่องดื่มให้คุณค่ากับการใช้บรรจุภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล,
แบรนด์เสื้อผ้าให้ความสำคัญต่อกระบวนการบำบัดน้ำเสียในการฟอกย้อมและตัดเย็บ
สิ่งเหล่านี้คือการนำมาเล่าถึงความแตกต่างของแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้ผู้บริโภคได้ตระหนักและเห็นคุณค่า
4. ปลูกฝังค่านิยมในองค์กรรักษ์สิ่งแวดล้อม : หากคนในองค์กรตั้งแต่พนักงานระดับล่างยันผู้บริหารระดับสูง
ยังไม่รู้ว่าแบรนด์เรามีคุณค่าอะไร ก็ยากจะทำให้คนภายนอกหรือกลุุ่มลูกค้าเข้าถึงคุณค่าของแบรนด์ได้
ดังนั้น Brand Image ควรเริ่มจากคนภายในออกไปสู่ภายนอก
เพื่อให้ทุกคนกลายเป็น brand ambassador ด้วยตนเองได้ และขยายฐานรากออกไปสู่งานบริการที่อาจต้องสื่อสารแทนองค์กรหรือกับลูกค้าต่อไป
ด้วยเหตุนี้เจ้าของแบรนด์จึงต้องมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปิดไฟ
การควบคุมการใช้พลังงาน การใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมตามฤดูกาล เพื่อลดการเปิดแอร์ ลดการใช้กระดาษ
การใช้บันได และลิฟท์ หรือแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ
ที่คนในองค์กรสามารถทำได้เพื่อโลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
5. รักษามาตรฐานให้ต่อเนื่อง : อย่าให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า
การให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมที่แบรนด์ทำขึ้นเป็นอะไรที่ฉาบฉวยแค่ CSR ที่ทำตามนโยบายปีต่อปีโดยไม่มีความต่อเนื่องเพียงพอ
เพราะนั่นเท่ากับว่าที่ลงแรงลงเงินทุนเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ไปสู่แบรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นเสียเปล่า
เพราะถึงแม้วันนี้ ปีนี้อาจไม่เห็นผล แต่ค่อยเป็นค่อยไป และต่อเนื่องคงมาตรฐานเดิม
นี่คือการเปลี่ยนแปลงแบรนด์เป็นแบรนด์ที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง ดังนั้นถ้าคิดจะใช้กลยุทธ์ในการสร้างภาพลักษณ์อันดีให้แก่แบรนด์ด้วยการรักษ์สิ่งแวดล้อม
เป็นมิตรกับธรรมชาติ ก็ควรทำให้เป็นประจำสม่ำเสมอ
การจะใช้การรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นมิตรต่อธรรมชาติมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด กระตุ้นยอดขาย ต้องตอบโจทย์ให้ได้ตั้งแต่วันแรกก่อนว่า แบรนด์พร้อมจะอยู่กับเรื่องนี้ไปยาวนานหรือไม่ และถ้าเทรนด์ใหม่มาจะปรับให้ไปด้วยกันกับการรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยไม่ให้เสียภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ปูทางมานาน ไปพร้อมๆ กับการเรียกยอดขายจากผู้บริโภคให้ทันเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไว เพราะกลยุทธ์เรื่องนี้คือการสร้าง Value ของแบรนด์ให้เกิดขึ้นในใจผู้คน ที่อาจจะไม่เห็นผลสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น จำต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานในการดำเนินการ แต่ให้ผลลัพธ์ในการเพิ่ม value และสร้างจุดขายที่แตกต่างอย่างยั่งยืนแน่นอน