เจาะยุทธศาสตร์ข้าวไทย 5 ปี ดันไทยแหล่งผลิตข้าวมาตรฐานโลก
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย
ภายใต้กลยุทธ์ “การตลาดนำการผลิต” ซึ่งการตลาดถือว่าหัวใจสำคัญและจะเป็นตัวกำหนดการผลิตข้าวไทยในช่วงระยะเวลา
5 ปีถัดจากนี้ โดยตั้งเป้าหมายสำคัญเอาไว้ คือจะทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านการผลิต
การส่งออกข้าว และผลิตข้าวคุณภาพของโลก
ยุทธศาสตร์ข้าวไทย
5 ปีเป็นนโยบายสำคัญที่จะมุ่งเน้นทำการผลิตข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด คือ
ผลิตข้าว 7 ชนิด ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ, ข้าวหอมไทย, ข้าวพื้นนุ่ม, ข้าวพื้นแข็ง, ข้าวนึ่ง,
ข้าวเหนียว, ข้าวคุณภาพพิเศษที่มีตลาดเฉพาะ
โดยข้าวทั้ง
7 ชนิดนี้จะแบ่งตลาดออกเป็น 3 ตลาดในภาพรวม ประกอบด้วย
1. ตลาดพรีเมียมประกอบด้วยข้าวหอมมะลิกับข้าวหอมไทย
2. ตลาดทั่วไป
ประกอบด้วย ข้าวนุ่ม ข้าวพื้นแข็ง ข้าวนึ่ง
3. ตลาดเฉพาะประกอบด้วยข้าวเหนียวกับข้าวคุณภาพพิเศษ เป็นการจัดระบบภาพรวมในเรื่องของการผลิตข้าวโดยใช้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
วิจัยพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวตอบโจทย์ตลาดโลก
ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับเรื่องของเมล็ดพันธุ์
ซึ่งถือว่าเป็นต้นน้ำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่ผลผลิตข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าวต่อไป
ในห่วงโซ่การผลิตและการตลาด ซึ่งในเรื่องของเมล็ดพันธุ์นั้นจะมุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์
การพัฒนาพันธุ์ และการสร้างพันธุ์ข้าวพันธุ์ใหม่ๆ
เพื่อสนองต่อความต้องการของตลาดให้มากขึ้น โดยเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพและที่สำคัญ
คือมุ่งส่งเสริมให้ภาคเอกชน สถาบันวิชาการ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนาสร้างพันธุ์ข้าวใหม่ขึ้นมาให้มากขึ้น
ด้วยการสนับสนุนของทางราชการ อะไรที่เป็นปัญหาอุปสรรคโดยกฎระเบียบก็จะตัดทอนให้หมด
เพื่อทุกฝ่ายจะได้ร่วมมือกันให้พันธุ์ข้าวไทยนั้น สามารถผลิตข้าวคุณภาพไปแข่งขันในตลาดโลกได้
อย่างไรก็ตามส่วนในเรื่องของการตลาดนั้นก็จะมุ่งให้ความสำคัญทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ
โดยหัวใจสำคัญ คือการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการค้าข้าวไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกกับประเทศคู่แข่งสำคัญหลายประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
ผู้ประกอบการก็จะประกอบด้วยโรงสี อุตสาหกรรมแปรรูป และผู้ส่งออกข้าวของไทย
สำหรับคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทย
โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธาน และกรรมการประกอบด้วยผู้บริหารกรมและกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และมีสมาคมค้าข้าวไทย, สมาคมชาวนาข้าวไทย, สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย,
สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย, สมาคมผู้รวบรวมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าว,
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, สมาคมโรงสีข้าวไทย, สภาเกษตรกรแห่งชาติ,
และกรรมการกลางศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ เป็นต้น โดยอนุกรรมการฯ นี้มาจากคำสั่งแต่งตั้งของคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่
22 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันยุทธศาสตร์ข้าว
5 ปียังมีเป้าหมายหลัก คือเร่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิตและการส่งออกข้าวตลาดโลก
โดยพัฒนาข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาด
สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย
สร้างทีมขายขยายตลาดและสามารถแข่งขันได้ ด้านการตลาดในประเทศมุ่งรักษาคุณภาพข้าวและสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
สร้างเสถียรภาพด้านราคาพัฒนากลไกซื้อขายข้าวให้ได้มาตรฐาน
พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มช่องทางการจำหน่ายและความต้องการบริโภค
ส่วนทางด้านการผลิต ให้พัฒนาชาวนาให้มีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้
บริหารจัดการด้านการผลิตข้าวมีประสิทธิภาพและความต้องการของตลาด เน้นการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวและการผลิตข้าวให้สามารถแข่งขันได้
ผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการตลาดโลก
การตลาดนำการผลิตในภาคการเกษตร
เป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรรูปแบบใหม่ เพื่อให้ปริมาณการผลิตและความต้องการสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ให้การสนับสนุนให้เกษตรกรเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล
เอกชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2561
มีการดำเนินงานคืบหน้าแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่พื้นที่
3.72 ล้านไร่ การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ปลูกข้าวอินทรีย์บนเนื้อที่ 120,000 มีเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 36,000 ราย
ช่วยให้ลดต้นทุนการผลิตลดลงและขายข้าวได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไปตันละ 2,000-8,000
บาท อีกทั้งเพิ่มช่วงทางการจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรใน 38 จังหวัด
สร้างมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท
ปัจจุบันภาคการเกษตรยังมีปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
เช่น ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ผลผลิตล้นตลาด ต้นทุนการผลิตสูง
ประสบปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เป็นต้น ส่วนเกษตรกรไทยยังขาดปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน คือ
1. ขาดความรู้
2. ขาดเงินทุน
3.
ไม่มีตลาดรองรับ
ซึ่งยุทธศาสตร์ข้าวไทย
5 ปี กำหนดนโยบาย “การตลาดนำการผลิต” ถือว่าแก้ปัญหาถูกจุด เนื่องจากจะเป็นแนวทางให้เกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
ทำให้เกษตรกรไทยสู่ความมั่งคั่ง ชีวิตมั่นคงยั่งยืนในอนาคตข้างหน้า
การตลาดนำการผลิต กุญแจสำคัญที่สามารถดันรายได้เกษตรกร และยังเป็นอีกทางออกให้เกษตรกรจะไม่ต้องทนทุกข์การผลิตล้นตลาด ถูกกดราคา หาที่รับซื้อไม่ได้ และภาครัฐที่จะไม่ต้องทุ่มเงินภาษีประชาชนมาอุ้มราคาสินค้าเกษตรจน กลายเป็นปัญหาลูกโซ่กระทบทั้งเศรษฐกิจสังคมและการเมืองอย่างที่ผ่านมา