การเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่จริงๆ
แล้วไม่ต้องรอให้ถึงวันปีใหม่ก็สามารถทำได้ทันที
แต่เพราะนี่มันเพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่นานก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียว
ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์เรามักจะตั้ง New Year’s
Resolution เอาไว้มากมาย แต่สุดท้ายก็กลับทำจริงไม่ได้จนครบปีสักที
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Bristol ศึกษาวิจัยมาแล้วว่า คนกว่า 88% ไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ถึงแม้ 52% จะมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้แน่นอนก็ตาม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทำไมเราถึงตั้งเป้าหมายไว้ แต่ไม่เคยทำได้สำเร็จเสียที
เป็นคำถามคาใจที่มีคำตอบหลากหลายมากจริงๆ
ไม่ใช่แค่ความขี้เกียจเท่านั้นที่ทำให้คนเราห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้
การศึกษาโดยศาสตราจารย์ Richard Wiseman กล่าวว่า
อายุเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของการตั้งเป้าหมายเช่นกัน กลุ่มคน Gen
X ที่อายุ 35-54 ปีจะสามารถทำตามเป้าหมายได้มากกว่ากลุ่มคนอายุอื่นๆ
นั่นเพราะช่วงอายุของพวกเขาอยู่ในวัยที่มีกำลังทรัพย์ มีเวลา
ไม่จำเป็นต้องทุ่มให้กับการหางาน วิ่งตามความฝันอย่างที่ผ่านมา
แต่ตกผลึกแล้วทุกอย่างจนสามารถใช้เวลาทำตามความต้องการของตัวเองได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
รวมถึงกลุ่มคน Baby Boomer (อายุ 55-74 ปี)
เองก็มีโอกาสล้มเหลวมากกว่าคน Gen อื่นเช่นกัน
เพราะพวกเขามักจะตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงได้ยาก โดยไม่ดูกำลังของตัวเอง
ซึ่งช่วงอายุของพวกเขาถึงแม้จะมีเวลามาก
แต่ก็ไม่มีกำลังเหมือนคนหนุ่มวัยรุ่นอีกต่อไป
สำหรับคน Gen Y (อายุ 23-34 ปี) เป็นกลุ่มคนที่บรรลุเป้าหมายได้เยอะเช่นกัน
แต่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์หรือสื่อออนไลน์สักหน่อย เช่น ใช้เครื่องมือออนไลน์หาข้อมูล
วางแผน และประกาศให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งเป้าอะไรไว้
ทำให้พวกเขายึดมั่นถือมั่น เพื่อพิสูจน์ให้ผู้คนเห็นว่าพวกเขาเองก็ทำได้
สาเหตุใหญ่ๆ ของการทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จเป็นเพราะคุณกำลังประเมินตัวเองผิดไป เรื่องบางเรื่องต่อให้ตั้งใจทำแทบตาย แต่ถ้ามันฝืนตัวเองมากเกินไป สุดท้ายคุณเองจะทำได้ไม่นาน และต้องล้มเลิกไปในที่สุด เพราะฉะนั้นการประมาณตนนั้นสำคัญมาก แค่ปรับทีละนิด ค่อยๆ ขยับ ค่อยๆ เปลี่ยน แล้วเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้จะสำเร็จลุล่วงไปแน่นอน นี่คือ 5 เคล็ดลับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่อย่างได้ผลที่คุณต้องลอง
5 เคล็ดลับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่อย่างได้ผล
1. ดูว่าปีที่ผ่านมาเราทำอะไรบ้าง
อันดับแรกก่อนจะไปตั้งเป้าหมายอะไรก็ตาม
ให้สำรวจตัวเองถึงปีที่ผ่านมาก่อนว่า คุณทำอะไรไปแล้วบ้าง แล้วผลลัพธ์มันเป็นยังไง
เกิดอะไรขึ้นกับคุณ มีการเปลี่ยนแปลงตรงไหน มีอีเวนต์ที่สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง
เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้แน่นอนว่าถ้าจะให้นึกคงลำบาก
แต่ส่วนใหญ่เรามักจะโพสต์ภาพความทรงจำลงโซเชียลมีเดียอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าสิ่งนี้ช่วยระลึกความหลังได้แน่นอน
ซึ่งการจดบันทึกสิ่งที่ผ่านมาลงไป
จะช่วยให้ประเมินตัวเองได้ถูกต้องมากขึ้นว่า เป้าหมายในอนาคตเราจะเป็นยังไง
ต้องทำอะไร แล้วต้องเดินทางไหนถึงจะเข้าใกล้สิ่งที่คิดไว้ได้ไวที่สุด
2. วิเคราะห์สิ่งที่ผ่านมาแบบเป็นกลางที่สุด
เมื่อลิสต์ครบแล้วว่าเราทำอะไรไปบ้าง
ก็ให้ประเมินตัวเองแบบเป็นกลางมากที่สุด ว่าพัฒนาขึ้นมากน้อยแค่ไหน
ขัดกับความตั้งใจในตอนแรกของปีที่แล้วรึเปล่า หรือมันดำเนินไปได้ด้วยดี
ให้คะแนนกับการกระทำตลอดปีที่ผ่านมากับตัวเอง
แล้วคุณจะรับรู้ถึงความจริงจังของกิจวัตรในแต่ละวันที่คุณทำเพื่อให้สำเร็จเป้าหมายที่ผ่านมา
แน่นอนว่ามันอาจจะมีกิจกรรมมากมายที่คุณทำไม่สำเร็จ
เป้าหมายที่ตั้งไว้แต่ถูกยกเลิก หรือเลิกทำไปกลางคัน
ก็มานั่งหาสาเหตุว่ามันเป็นเพราะอะไร เมื่อตกผลึกทุกอย่างแล้ว จะรู้ทันทีว่าต้องเพิ่มความตั้งใจตรงไหน
หรือปรับลดความยากในเป้าหมายอย่างไร ถึงจะพิชิตมันได้จริงในปีนี้
3. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
แจ่มชัด
เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับหลักจิตวิทยาอยู่เหมือนกัน
เพราะถ้าคุณมัวแต่ท่องเป้าหมายไว้ในใจแบบไม่เห็นภาพ
ก็มีแต่จะทำให้คุณหลงลืมมันไปในที่สุด ซึ่งมีการวิจัยออกมายืนยันแล้วด้วยว่า
การที่คนเราตั้งเป้าหมายแล้วเขียนมันลงไปในกระดาษ
แปะไว้ในที่ที่ต้องมองเห็นตลอดเวลา
จะช่วยให้มีแรงใจในการกระตุ้นเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น และล้มเหลวน้อยลง
เป้าหมายของคุณที่จะตั้งในปีนี้ต้องสอดคล้องกับข้อที่ผ่านๆ
มา นั่นคือ ตั้งให้พอดี ไม่มากเกินไป เพราะเมื่อไหร่ที่มันมากเกิน
หรือฝืนตัวเองเกินไปจะทำได้ไม่นาน
4. โฟกัสกับเป้าหมายแค่ทีละอย่าง
เป้าหมายทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
เพราะฉะนั้นคุณเองห้ามตั้งเป้าหมายหลายสิ่งพร้อมกันเด็ดขาด
เพราะจะทำให้การใส่ใจในเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งลดลง เข้าใจว่าการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่คุณอาจต้องการเปลี่ยนหลายจุด
แต่ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดแค่เดือนนี้ ปีนี้ หรือปีหน้า
ทางที่ดีควรบรรลุเป้าหมายให้ได้ทีละอย่าง
แล้วเมื่อคุณทำมันจนติดเป็นนิสัย ค่อยเริ่มต้นทำสิ่งต่อๆ ไป
หรืออย่างน้อยถ้าจะทำมันพร้อมกัน ไม่ควรทำในสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อกันโดยตรง
เช่น “ปกติเป็นคนตื่นสาย ไม่ออกกำลังกาย มีเวลาว่างน้อย
ก็ตั้งเป้าว่าจะตื่นเช้าๆ มาออกกำลังกาย แล้วรีบไปทำงานให้ทันเวลา
เพื่อจะได้เลิกงานตรงไม่ต้องทำงานต่อจนมืด” การฝืนตัวเองไปพร้อมๆ
กันหลายเรื่องจะส่งผลให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินพอดี
และสุดท้ายเป้าหมายทั้งหมดจะไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่างเดียว
5. ให้รางวัลตัวเองเมื่อไปถึงจุดหมาย
สุดท้ายแล้วคนเราอยู่ได้ด้วยกำลังใจ
ถ้าคุณตั้งเป้าหมายใหญ่ไว้แล้วไม่มีอะไรมาหล่อเลี้ยงตัวเอง
คุณจะรู้สึกว่ามันยากมาก จนไม่อยากจะทำต่ออีกเลย ทางที่ดีควรตั้งเป้าหมายใหญ่ไว้
และลดระดับเป้าหมายลง เหลือทีละขั้นๆ เพื่อให้รู้สึกว่าเป้าหมายนี้มันง่าย
คุณเองก็ทำได้ และเมื่อคุณผ่านแต่ละด่านมาได้ ก็มอบของขวัญ หรือรางวัลเล็กๆ น้อยๆ
ให้กับตัวเอง เช่น ถ้าคุณลดน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม คุณจะฉลองด้วยการสั่งพิซซ่ามากิน
ถึงแม้มันจะดูขัดกับหลักเป้าหมาย แต่ใน 1 วันที่มีความสุขนี้ จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักกิโลต่อๆ ไปได้แบบไม่เหนื่อยมากเกิน และรู้แล้วว่าคุณจะต้องลดเพิ่มอีกเพื่อให้ได้รางวัลที่คุ้มค่าที่กำลังรอคุณอยู่
นอกจากนี้การบอกกับเหล่าผู้คนบนโลกโซเชียลเองก็เป็นอีกหนึ่งหนทางเช่นกัน เพราะมันจะให้ความรู้สึกเหมือนมีคนกดดันคุณตลอดเวลา มีคนจับจ้องคอยมองคุณอยู่ และคุณจะต้องบรรลุเป้าหมายให้ได้ตามคำพูดที่ตั้งใจเอาไว้ พยายามทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน โดยไม่มีข้ออ้าง ห้ามข้ามแม้แต่วันเดียว เมื่อคุณทำติดต่อกันครบ 21 วันตามทฤษฎีของ Dr.Maxwell Maltz คุณจะเลิกทำมันไม่ได้ และไม่รู้สึกว่ามันลำบากอีกเลย