สงครามการค้าประทุขึ้น เมื่อเดือนกันยายน 2561
สหรัฐเรียกเก็บภาษี 10%
จากสินค้าที่นำเข้าจากจีนคิดเป็นมูลค่ากว่า 200,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้าสหรัฐคิดเป็นมูลค่า
60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 10
พฤษภาคม 2562
สถานการณ์ดังกล่าวได้เพิ่มความรุนแรงขึ้น โดยสหรัฐเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก
25% มูลค่า 200,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการขู่ว่าจะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก 25%
สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนล็อตที่ 3
มูลค่า 325,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ว่าหลังการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐและจีนมีท่าทีจะเริ่มการเจรจากัน ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย แต่ทว่าผลพวงของการขึ้นภาษีสินค้าไปก่อนหน้านี้เริ่มส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจจีน โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำสุดในรอบ 6 ปี ประเด็นนี้เชื่อมโยงมาถึงคู่ค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน
นั่นคือ ‘สิงคโปร์’
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ตามรายงานของธนาคารสิงคโปร์ (DBS)
ระบุว่าสิงคโปร์เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงเมื่อปี
2561
เนื่องจากความต้องการสินค้าประเภทวิศวกรรมและอิเล็กทรอนิกส์จากจีนเริ่มลดลงนอกจากนี้ผลผลิตอุตสากรรมก็ลดลงประมาณ
20 ถึง 30%
ล่าสุดข้อมูลจาก Enterprise
Singapore (ESG) รายงานสถานการณ์การค้าของสิงคโปร์เมื่อเดือนพฤษภาคม
2562 ว่า
ภาพรวมการส่งออกสินค้ากลุ่มนอนออยล์ (Non-Oil) ลดลง
15.9% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนและลดลง
10%
เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายน 2562
โดยตลาดที่มีการขยายตัวลดลงมากที่สุด 3
อันดับแรก ได้แก่ ไต้หวันลดลง 34.7%
ฮ่องกงลดลง 24.8%
และจีนลดลง 23.3%
เป็นผลมาจากการลดลงของการส่งออกสินค้ากลุ่ม ICs,
Disk Media และชิ้นส่วนของ ICs
สิงคโปร์มีระบบการค้าแบบเปิดพึ่งพาการส่งออกมากกว่าประเทศอื่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)
โดยรายได้จากการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 200%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศสิงคโปร์หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีสัดส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศมาเลเซียหรืออินโดนีเซียด้วย
ประเด็นที่สำคัญคือ สิงคโปร์เป็นประเทศในห่วงโซ่อุปทานสำหรับการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นตอนสุดท้ายของจีนก่อนส่งต่อไปยังตลาดสหรัฐ ทำให้สิงคโปร์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ ทั้งนี้สัดส่วนการส่งออกสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าสูงถึง 39% ของในไตรมาส 1/2562 การส่งออกสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไปตลาดจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยบริษัทสิงคโปร์ที่มีโรงงานผลิตตั้งอยู่ที่จีนแห่งเดียวและผลิตสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐได้รับผลกระทบ ผลการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
รายงานจากกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์
(The Ministry of Trade and Idustry -MTI) ได้ปรับลดประมาณการ
GDP สิงคโปร์ว่าจะขยายตัว
1.5-2.5% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 1.5-3.5% หลังจากที่ GDP
ในไตรมาสแรกเติบโต
1.2% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี นับจาก ปี 2552 และสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะทำให้เศรษฐกิจในปี
2563 เกิดภาวะถดถอย
Mr.Lee Hsien Loong นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ได้กล่าวในช่วงระหว่างการเข้าร่วมประชุม ASEAN Summit ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 20 ถึง 23 มิถุนายน 2562 ว่าผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนส่งผลให้การค้าโลกบางส่วนหยุดชะงัก ความไม่แน่นอนดังกล่าวกำลังกระตุ้นให้ธุรกิจต่างๆลดค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างสองประเทศใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้การลงทุนในปัจจุบันก็มีการหยุดชะงักเนื่องจากนักลงทุนต้องการรอดูสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสงครามดังกล่าว
สอดรับกับมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางของสิงคโปร์จะออกนโยบายทางการเงินที่ผ่อนผันมากขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ หรืออาจจะมีการตัดสินใจนอกรอบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากนี้ยังคาดเดาว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามทางเอกชนสิงคโปร์มองว่านโยบายทางการเงินหรือมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งความตกต่ำทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวทั่วโลกได้