ผลสำรวจความเห็นชาวอเมริกันก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในอีก
3 เดือนข้างหน้า โดย ABC News/Washington Post จัดทำขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ปรากฏว่า "นายโจ ไบเดน" อดีตรองประธานาธิบดีสมัยประธานาธิบดีบารัค
โอบามา ตัวแทนผู้ลงชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต ได้รับคะแนนนิยมนำประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพลับลิกัน ถึง 55% ต่อ 40%
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง สหรัฐฯ ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์ 1 ที่มีปัญหาการระบาดสูงสุด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสหรัฐฯ
ไม่เพียงแต่จะมีผลต่อนโยบายการแก้ไขปัญหาโควิด-19
แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย เหตุที่สหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกคิดเป็นมูลค่า
20.49 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดสัดส่วนประมาณ 22% เป็นขนาดเกือบ 1 ใน 4 ของโลก
ไม่เพียงเท่านั้น จุดเปลี่ยนการเมืองสหรัฐ
ยังส่งผลต่อทิศทางการค้าและการลงทุนของไทยด้วย เนื่องจากสหรัฐฯ
ถือเป็นตลาดหลักของไทย มีมูลค่าการค้า 43,630
ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 เป็นการส่งออก 31,348 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 13.9%
ถือเป็นตลาดอันดับ 2 ของไทยรองจากอาเซียน
ความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการเมือง และนโยบายการบริหารของทั้งสองพรรค ย่อมจะส่งผลต่อการค้าและการลงทุนของไทยแน่นอน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยพรรครีพลับลิกัน
เป็นพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายที่สนับสนุนตลาดและระบบการค้าทุนนิยม
เชื่อมั่นในการเก็บภาษีแบบเท่าเทียมกัน และมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนกองทัพ
รีพลับลิกันมีนโยบายปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
โดยใช้มาตรการทางด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี และไม่สนับสนุนความร่วมมือทางการค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบายใช้
American
first ถอนตัวออกจากการเจรจาความตกลงที่คลอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(CPTPP)
แต่หากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะ
เชื่อได้ว่าจะมีนโยบายสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเสรีและเปิดกว้าง
เชื่อมั่นระบบการเก็บภาษีตามระดับรายได้แบบขั้นบันได การพิจารณากลับเข้าร่วม CPTPP
เป็นนโยบายที่พรรคนี้อาจจะทบทวนเข้าร่วมอีกครั้ง
เพราะเป็นนโยบายที่อดีตประธานาธิบดี “บารัค โอบาม่า” ก่อร่างไว้ในสมัยที่เป็น TPP ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศถอนตัวออกไป
โอกาสการเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองสหรัฐฯ
มีความเป็นไปได้มาก
ผลจากจุดอ่อนแอในการบริหารงานของทรัมป์ที่ผ่านมามีจุดที่ทำพรรครีพลับลิกันต้องระวังอย่างหนัก
ทั้งจากการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 ล้มเหลว ทำให้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละ 50,000-70,000
คน และสถานการณ์การประท้วงกรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์
ชายผิวสีที่ถูกตำรวจทำร้ายจนเสียชีวิต เป็นปัญหาบานปลายส่งปัญหาต่อเศรษฐกิจ จนล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ปรับลดประมาณการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่ามีโอกาสที่ติดลบ 8% ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายน ว่าจะติดลบ 5.9%