รายงานจากกระทรวงพาณิชย์ถึงกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) สินค้าไทย ซึ่งจะมีผลในอีก 6 เดือน โดยประกาศดังกล่าวเป็นการพิจารณาทบทวนการให้สิทธิเป็นรายประเทศ เกิดขึ้นหลังจากที่สหภาพแรงงานสัมพันธ์ของสหรัฐฯ ร้องเรียนให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) พิจารณาตัดสิทธิไทย เพราะไม่มีการคุ้มครองแรงงานที่มากพอ รวมถึงสมาพันธ์ผู้เลี้ยงสุกรแห่งสหรัฐฯ ได้ร้องเรียนให้ยูเอสทีอาร์ตัดสิทธิไทย เพราะจำกัดการเข้าสู่ตลาดของสินค้าจากสหรัฐฯ และภายหลังการพิจารณาตามการร้องเรียนแล้ว ยูเอสทีอาร์ได้ตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทยโดยพิจารณาจากเรื่องแรงงานเป็นหลัก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยก่อนหน้านี้ ยูเอสทีอาร์ ได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์มาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อผลักดันให้ไทยแก้ไขกฎหมายแรงงานตามที่สหรัฐฯ เรียกร้องในหลายประเด็น เช่น ให้สิทธิแรงงานต่างด้าวสามารถตั้งสหภาพแรงงานในไทยได้, ให้แรงงานต่างด้าวในไทย
เมื่อฟ้องร้องนายจ้างแล้ว นายจ้างจะไม่สามารถฟ้องร้องกลับได้, ให้แรงงานมีสิทธิเรียกร้อง
แสดงความเห็นในที่สาธารณะ เป็นต้น ซึ่งไทยได้แจ้งมาตลอดว่ากำลังแก้ไขกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ และที่สำคัญข้อเรียกร้องดังกล่าวของสหรัฐฯ
เองยังไม่สามารถดำเนินการได้
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ
เรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐฯ
ขณะนี้คณะทำงานของทั้ง 2
ฝ่ายอยู่ระหว่างการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ว่าการบริโภคหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงจะมีผลต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคอย่างไร
ถ้าพบว่าเป็นอันตรายจริงไทยอาจพิจารณาไม่ให้นำเข้า ซึ่งสหรัฐฯ
อาจนำมาเป็นข้ออ้างตัดจีเอสพีสินค้าไทยเพิ่มได้อีกในอนาคต
สำหรับการตัดสิทธิจีเอสพีดังกล่าว
สหรัฐฯไม่ได้ตัดสิทธิสินค้าจากไทยที่สหรัฐฯให้สิทธิส่งออกภายใต้จีเอสพีทั้งหมด
แต่จะตัดสิทธิเพียง 1 ใน 3 หรือในกว่า 3,500 รายการ ที่ไทยได้รับสิทธิจีเอสพี
ซึ่งในปี 2561 ไทยใช้สิทธิส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,200
ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าที่ได้รับสิทธิส่งออกทั้งหมด 4,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือคิดเป็นการใช้สิทธิ์ 66% ส่งผลให้สินค้าไทยในกลุ่มที่ถูกตัดสิทธิต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติที่เฉลี่ย
4-5% จากเดิมที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าเลย
ด้านกรมการค้าต่างประเทศ ได้หารือกับผู้ส่งออกไทยที่ใช้สิทธิ์ส่งออกไปสหรัฐฯมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เตรียมพร้อมรับมือการถูกตัดสิทธ์ ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์จะทำหนังสือโต้แย้งสหรัฐฯ และหารือกับสหรัฐฯในคณะกรรมการด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-สหรัฐฯ (ทิฟา) ที่มีการประชุมร่วมกันทุกปี และกำหนดจะประชุมครั้งต่อไปเดือนเมษายน 2563
สรุปสหรัฐฯ ตัดจีเอสพีไทยรวม 573 รายการ
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐฯ
มีประกาศจะตัดจีเอสพี ที่เคยให้ไทยบางรายการ ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่าสหรัฐฯ
จะตัดสิทธิจีเอสพีไทย 573 รายการ คิดเป็น 40% จากจำนวนสินค้าที่ไทยใช้สิทธิในปี
2561 รวม 1,485 รายการ โดยจะมีผลบังคับใช้ 25 เม.ย.2563 และมีการคืนสิทธิให้ไทย 7
รายการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกคิดเป็นประมาณ 0.01%
ของการส่งออกรวมของไทยเฉลี่ยรายปี
แต่มีสินค้าบางรายการที่ใช้สิทธิมากที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่ารายการอื่น
ทั้งนี้ ในปี 2561 ไทยมีการใช้สิทธิจีเอสพี เพียง 355 รายการ (จาก 573 รายการ) มูลค่า 1,279.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราการใช้สิทธิเฉลี่ย 66.7% เช่น อาหารทะเลแปรรูป พาสต้า ถั่วชนิดต่างๆ แยมผลไม้ น้ำผลไม้ ซอสถั่วเหลือง เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์เครื่องครัวและของใช้ในบ้าน มอเตอร์ไฟฟ้า เหล็กแผ่นและสเตนเลส เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ตกปลา โดยการถูกตัดสิทธิจีเอสพี ทำให้ต้นทุนส่งออกไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50.33 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากสินค้าไทยกลุ่มนี้จะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 4.5% (อ้างอิงจากอัตรา MFN rate ของสหรัฐฯ ปี 2561)
อย่างไรก็ตาม การส่งออกไทยที่มีจุดเด่นในการกระจายตัวของสินค้ากลุ่มใหม่ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่องในอนาคต
เช่น เครื่องนุ่งห่มรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องครัว และของใช้ในบ้าน
ซึ่งจะช่วยยังสนับสนุนการส่งออกของไทยในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อไปได้
แต่การถูกตัดจีเอสพี ทำให้ความได้เปรียบด้านต้นทุนภาษีหมดไป
และไทยจะเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น ดังนั้น
การรักษาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ
ผู้ส่งออกควรกระชับสัมพันธ์กับผู้นำเข้าพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการส่งเสริมการส่งออกและการตลาดเชิงรุก
เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด