‘วรุณา’ นำเทคโนโลยี AI ยกระดับภาคการเกษตรไทย พร้อมดันประเทศสู่สังคม Net Zero

SME in Focus
10/04/2024
รับชมแล้วทั้งหมด 1641 คน
‘วรุณา’ นำเทคโนโลยี AI ยกระดับภาคการเกษตรไทย พร้อมดันประเทศสู่สังคม Net Zero
banner

ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกมีความตื่นตัวและหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยดูแลและช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ปัจจุบันทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งส่งผลกระทบต่อหลายภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ที่จะต้องปรับตัวต่อสถานการณ์นี้ อย่างอุตสาหกรรมการเกษตรเองก็จะต้องมีการปรับตัวอย่างเร่งด่วน จากกิจกรรมบางส่วนที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อน แต่ในขณะเดียวกันปัจจุบันเทคโนโลยีได้เติบโตอย่างรวดเร็ว จึงนับเป็นความท้าทายของ บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ วรุณา (VARUNA) ผู้เชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนคาร์บอนอย่างยั่งยืนในภาคการเกษตรและสิ่งแวดล้อม ในกลุ่มบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้ และได้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี AI เข้ามาแก้ไขปัญหา ตั้งแต่การบริหารจัดการพื้นที่สีเขียว และการเกษตรอัจฉริยะอย่างครบวงจร อีกทั้งช่วยลดการใช้ทรัพยากร และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และสงสัยกันหรือไม่ว่าเทคโนโลยี AI นี้จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อมและภาคการเกษตรได้อย่างไร Bangkok Bank SME จะพาทุกคนไปทำความรู้จัก เทคโนโลยีรักษ์โลกนี้ให้มากขึ้นกัน



คุณพณัญญา เจริญสวัสดิ์พงศ์ ผู้บริหารด้านธุรกิจและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด สะท้อนมุมมองว่า จากปัญหาโลกร้อนที่กล่าวไปนั้น ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่ยังขาดเทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมทางการเกษตรอย่างยั่งยืนอยู่ ซึ่งนับเป็นช่องว่างในตลาดของอุตสาหกรรมการเกษตร จึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง ‘วรุณา’ ขึ้นเมื่อปี 2563 โดยเริ่มต้นจากเป็นหน่วยธุรกิจในกลุ่มบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จํากัด ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ และพัฒนาโซลูชัน AI เพื่อใช้พัฒนาบริบทเศรษฐกิจและสังคมในไทยยุคใหม่




“วรุณาเริ่มต้นธุรกิจจากการจำหน่ายและการให้บริการโดรนทางการเกษตร ที่มาพร้อม Software Application เพื่อส่งเสริมเกษตรกรไทย ทั้งการทำเกษตรไม้ยืนต้นและการทำนาข้าว หันมาทำการเกษตรแบบรักษ์โลก ที่สามารถช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิต สามารถแข่งขันได้ และช่วยลดโลกร้อนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการยกระดับภาคการเกษตร” อย่างไรก็ตามการนำเทคโนโลยีเข้าไปให้เกษตรกรนับว่ามีความท้าทายมาก เนื่องจากเกษตรกรคุ้นเคยกับการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม หรืออาจยังไม่พร้อมใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เราจึงพุ่งเป้าไปที่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีการรวมกลุ่มกันเป็น Young Smart Farmer



หนุนเกษตรกร ใช้แอปฯ “KANNA” ลดก๊าซมีเทนในการทำนา


วรุณา ร่วมมือกับนักวิชาการ กรมการเกษตร กรมการข้าว สนับสนุนเกษตรกรไทยหันมาเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง หรือ AWD (Alternative Wetting and Drying) เพื่อช่วยให้ภาคการเกษตร สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนที่มีค่ามากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจากเดิมเกษตรกรต้องขังนํ้าในนาไว้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าในแปลงข้าวโตกว่าข้าว แต่เมื่อปลูกข้าวได้ประมาณ 30 วัน ต้นข้าวจะแข็งแรงโตกว่าต้นหญ้า จึงปล่อยนํ้าออกจากนาได้ เพื่อให้ดินชุ่มชื้นในระดับที่เพียงพอ จนถึงฤดูเกี่ยวข้าว


แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งนี้แล้ว จะลดวันที่ขังนํ้าในนา หรือลดปริมาณนํ้าที่ขังในนาโดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิต ซึ่งการลดปริมาณนํ้าที่ขังในที่นานี้เอง ทำให้สามารถลดการสะสมก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการหมักของซากพืช ซากสัตว์ลงได้อย่างมาก และยังช่วยลดการใช้นํ้าได้ถึง 50% ทำให้ช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูกได้ถึง 13% และที่สำคัญสามารถลดก๊าซมีเทนได้ถึง 80% และยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มจากการขายคาร์บอนเครดิตอีกทางหนึ่งด้วย


จากโครงการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง วรุณา ได้นำนวัตกรรม ‘แอปพลิเคชันคันนา’ (KANNA) ผู้ช่วยประจำแปลงเพื่อเกษตรกรไทยสามารถบริหารจัดการแปลงเกษตรแบบครบวงจร ด้วยฟีเจอร์การใช้งานที่ครบครั้น ตั้งแต่การวางแผนการปลูก รายงานข้อมูลสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ทั้งรายวันและรายชั่วโมง ช่วยประเมินการเกิดโรคและแมลง รวมถึงการคาดการณ์ผลผลิต ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการเก็บเกี่ยว



ขณะเดียวกัน แอปฯ KANNA สามารถใช้ในการตรวจสอบ 2 ส่วน ส่วนแรก เกษตรกรจะรายงานข้อมูลผ่านแอปฯ KANNA ผ่านการถ่ายรูป บันทึกวันที่ใส่ปุ๋ย วันที่เปิดนํ้าเข้านา ส่วนที่สอง ทีม วรุณา จะใช้เทคโนโลยีดาวเทียม ตรวจสอบความชื้น ในวันที่เกษตรกรปล่อยนํ้าเข้านาและปล่อยนํ้าออกจากนา เพื่อดูค่านํ้า ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เป็นการติดตามการปล่อยนํ้าออกจากนา ซึ่งจะส่งผลต่อการปล่อยก๊าซมีเทนนั่นเอง



คุณพณัญญา อธิบายเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เกษตรกรรายงานและการตรวจเช็กผ่านแอปฯ KANNA นี้ วรุณาจะนำไปใช้เป็นเอกสารหลักฐานในการขอขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต ต่อองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. โดยหลังจากขอขึ้นทะเบียนได้แล้ว ต้องมีการตรวจวัด รายงาน และตรวจสอบการจัดทำ และขอการรับรองว่าภายในระยะเวลา 1-3 ปีจากปีที่เริ่มทำ มีการลดก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไหร่ จึงจะได้คาร์บอนเครดิตมา ผ่าน T-VERs (Thailand Voluntary Emission Reduction Program)



‘VLM Forest’ เทคโนโลยี บริหารพื้นที่สีเขียว เครื่องมือช่วยลดโลกร้อน


คุณพณัญญา กล่าวว่า ปัจจุบัน วรุณา มีบทบาทสำคัญ 2 ด้าน ด้านหนึ่ง คือการใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือเกษตรกร ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือการช่วยให้พาร์ทเนอร์บรรลุเป้าหมายการลดโลกร้อน โดยนำเทคโนโลยี ‘VLM Forest’ หรือ "VARUNA Land Monitoring Forest" มาใช้วิเคราะห์และแสดงผลพื้นที่สีเขียว ทั้งพื้นที่ธรรมชาติ และพื้นที่การเกษตร โดยใช้โดรนสำรวจชนิดมัลติสเปกตรัมในการจัดเก็บภาพพื้นที่ขนาดใหญ่ด้วยความละเอียดสูง ร่วมกับการใช้ภาพถ่าย Normalized Difference Vegetation Index (NDVI) จากดาวเทียม ช่วยให้ได้ข้อมูลสภาพพื้นที่ ที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง เพื่อนำมาวิเคราะห์และประมวลผลด้วยเทคโนโลยี AI จนได้ฐานข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ใช้งานนำไปวางแผนพัฒนาฟื้นฟูพื้นที่ตามเป้าหมายที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ


นอกจากเทคโนโลยี ‘VLM Forest’ จะช่วยประมวลผลการใช้โดรนและดาวเทียมเชื่อมโยงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ วางแผน และบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวแล้ว วรุณา ยังพัฒนาต่อยอดให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ช่วยมอนิเตอร์ให้เห็นชัดเจนว่าในการลงทุนปลูกป่านั้น ได้ผลที่น่าพึงพอใจเพียงใด พร้อมส่งผลประเมินความสมบูรณ์ของป่าเป็นรายปี




“วรุณา ต่อยอดพัฒนา ‘VLM Forest’ ให้มีโซลูชันการตรวจสอบและคำนวณคาร์บอนเครดิตรูปแบบใหม่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งโซลูชันนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมองเห็นโอกาส นำแพลตฟอร์มนี้ไปใช้วิเคราะห์และประเมินผลการทำงานที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตขององค์กรตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งประโยชน์ในการช่วยตรวจจับพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดไฟป่า ถือเป็นการบริหารป่าไม้อย่างครบวงจรในแพลตฟอร์มเดียว และเป้าหมายสำคัญของวรุณา คือมีความมุ่งมั่นที่จะให้บริการกับองค์กรที่กำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่สีเขียว ผ่านเทคโนโลยีดังกล่าว ให้มาเป็นตัวช่วยสำคัญในเรื่องของฐานข้อมูลคาร์บอนเครดิตอย่างครบถ้วนเพื่อนำไปขอการรับรองต่อไปได้”


แนวโน้มเติบโต และความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตของไทย


คุณพณัญญา ให้มุมมองว่า ปัจจุบันคาร์บอนเครดิตจากภาคการเกษตรมีความต้องการมาก วรุณาจึงมีแผนซัพพลายคาร์บอนเครดิตตามที่ตลาดต้องการ ซึ่งเมื่อเทียบกับพื้นที่ป่าที่มีพื้นที่จำกัดแล้ว พื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยภาคเกษตรสามารถพัฒนาคาร์บอนเครดิตได้อีกถึง 1 ล้านไร่ โดยเฉพาะ นาข้าว สามารถต่อยอดได้อีกมาก


แม้ปัจจุบันการซื้อขายเครดิต TVERs ยังมีไม่มากนัก แต่ในอนาคตจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีการคาดการณ์ความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตของไทย ตั้งแต่ปี 2563 – 2573 จะสูงถึงราว 1,600 ล้านตัน tCO2e โดยวรุณามีเป้าหมายในการส่งเสริมเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวเปียกสลับแห้ง ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้ฟรี เพียงแค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันคันนา (KANNA) จากกูเกิลเพลย์ (https://bit.ly/3vyHRSW) และ แอปสโตร์ (https://bit.ly/3JagNMI) โดยแอปฯ ดังกล่าวจะขยายการรองรับกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ เหมือนศูนย์รวมของตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตของทุกคน



“ปีที่แล้ว วรุณา ขายคาร์บอนเครดิตได้ 1 แสนตัน ปีนี้เรามีขายอีก 2 แสนตัน ซึ่งปัจจุบันเรามีคาร์บอนเครดิตในพอร์ตที่พร้อมขายประมาณ 1 หมื่นตัน นอกจากเราขายคาร์บอนเครดิตให้ตลาดในประเทศที่ได้ปีละ 2 แสนตันแล้ว เรายังขายคาร์บอนเครดิตให้ประเทศในแถบ South East Asia ได้ประมาณปีละ 20 ล้านตัน ถือว่าเป็นตลาดใหญ่กว่าในประเทศถึง 10 เท่าเลยทีเดียว”


สะท้อนให้เห็นว่า เป้าหมาย Net Zero Emissions จะทำได้ทุกประเทศ ต้องมีการทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ โดยเฉพาะ ประเทศอุตสาหกรรมจะต้องพยายามช่วยกัน รวมถึงภาคการเกษตรที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับ 3 รองจากภาคพลังงาน และภาคขนส่ง ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีพื้นที่การเกษตรจำนวนมาก วรุณาเชื่อมั่นว่าหากมีการร่วมกันใช้เทคโนโลยีจากที่ได้กล่าวมาในภาคการเกษตรกันอย่างจริงจังนั้น จะสามารถช่วยลดอุณหภูมิโลกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน พร้อมก้าวสู่สังคม Net Zero ในที่สุด


รู้จัก บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มเติมได้ที่ :


https://varuna.co.th/


https://www.facebook.com/varunatech/?locale=th_TH


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

ถอดบทเรียนแนวคิดต่างของ “เวิลด์กรีน พลัส” พลิกภาระสู่โอกาส เปลี่ยนของเสียให้เป็นมูลค่า

ถอดบทเรียนแนวคิดต่างของ “เวิลด์กรีน พลัส” พลิกภาระสู่โอกาส เปลี่ยนของเสียให้เป็นมูลค่า

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บวกกับแรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด การดำเนินธุรกิจในยุคที่…
pin
12 | 28/02/2025
แพทย์หญิงนักปรุงจาก “อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย” ชวน ไขความลับของผู้ผลิต Food Ingredients ผู้ช่วยตัวจริงของ อุตสาหกรรมอาหาร

แพทย์หญิงนักปรุงจาก “อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย” ชวน ไขความลับของผู้ผลิต Food Ingredients ผู้ช่วยตัวจริงของ อุตสาหกรรมอาหาร

ปัจจัยสำคัญที่ร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ประกอบด้วยหลายด้านด้วยกัน ทั้งในเรื่องของความสะอาด การบริการที่ได้มาตรฐาน…
pin
13 | 25/02/2025
จาก YouTuber ช่องดัง สู่การสร้างแบรนด์ชานมไข่มุก BEARHOUSE และ SUNSU เจาะกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานที่อยากใส่ใจสุขภาพ และยังรักการกินขนม

จาก YouTuber ช่องดัง สู่การสร้างแบรนด์ชานมไข่มุก BEARHOUSE และ SUNSU เจาะกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานที่อยากใส่ใจสุขภาพ และยังรักการกินขนม

จาก YouTuber ที่เคยรีวิวของเล่นจนสร้างชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมาก สู่การเป็นเจ้าของร้านชานมไข่มุกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช…
pin
17 | 10/02/2025
‘วรุณา’ นำเทคโนโลยี AI ยกระดับภาคการเกษตรไทย พร้อมดันประเทศสู่สังคม Net Zero