การเปลี่ยนแปลงของกระแสเศรษฐกิจโลก หรือ Global Mega Trends ซึ่งมีปัจจัยนานัปการที่ทําให้การดําเนินธุรกิจไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้
แม้ในปัจจุบันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบางธุรกิจ อาทิการนำเทคโนโลยีมาใช้
แต่ก็เป็นผลให้บางธุรกิจที่ปรับตัวช้าหรือบริบทสังคมและเทคโนโลยีในขณะนั้นก้าวล้ำเกินกว่าธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ
จะอยู่รอดได้ ก็เป็นอันต้องถูก Digital Disrupt
ไปในที่สุด
ลองดูตัวอย่างของธุรกิจที่ถูก Disrupt ในปัจจุบันนี้ เช่น
อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโทรทัศน์ที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป,
อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์แบบเก่าที่อาจถูกกระทบอย่างรุนแรงจากเทคโนโลยีไฟฟ้า
(Electric Vehicle : EV), ธุรกิจบริการ เช่น โรงแรม
อาจถูกแย่งยอดขายจากธุรกิจแบ่งปันห้องให้เช่า ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Airbnb,
ธุรกิจร้านอาหารที่ต้องมีการแบ่งยอดขายให้กับแอปพลิเคชัน Food
Delivery, ในขณะที่ธุรกิจสถาบันการเงินต่างๆ
ก็อาจถูกกระทบด้วยการเงินผ่านเทคโนโลยี (Fintech) ใหม่ๆ เช่น
การโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
และไม่เฉพาะที่ยกตัวอย่าง แต่ทุกวันนี้เรียกได้ว่าเป็นกระแส Digitization คือกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกไปสู่จิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจในปัจจุบันจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนสู่ Digitalization ซึ่งก็คือการปรับเปลี่ยนกระบวนการหรือวิธีการทำงานที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้อย่างเหมาะสมสำหรับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าเกิดเป็นคำใหม่ที่เรียกกันติดปากอยู่ช่วงหนึ่งว่า ‘Digital Transformation’ ซึ่งศัพท์เทคนิคเหล่านี้คือการบ่งบอกว่าโลกเราก้าวสู่อีกยุคหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยุคที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR -The Fourth Industrial Revolution)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ที่ผ่านมาธุรกิจต่างมีการทบทวนรูปแบบการดําเนินธุรกิจที่มีอยู่เดิมให้สามารถดํารงอยู่ได้ในยุคนี้
เช่นการใช้เทคโนโลยี การปรับกระบวนการทำงานให้รวดเร็วและเพิ่มผลิตภาพมากขึ้น
การมุ่งเน้นเรื่อง E-Commerce, AI, Automation, Big Data,
Robot และการจัดการความเสี่ยงต่างๆ จนดูเหมือว่าในช่วงปี 2560-2562 ธุรกิจในประเทศไทยเริ่มมีการปรับเปลี่ยนที่เห็นได้ชัด
เข้าใจรูปแบบการทำธุรกิจยุคใหม่มากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะรับความท้าทายในรูปแบบใหม่ๆ
ต่อไป
แต่ปลายปี 2562
โลกก็ได้รู้จักเชื้อไวรัสอู่ฮั่น ที่เกิดการระบาดในประเทศจีน
ก่อนจะบานปลายไปสู่การเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ปัจจุบันยงคงลุกลามทั่วโลก
ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักไปขณะหนึ่ง
และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี
และยังเร่งเร้าให้พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
ซึ่งปัจจุบันเรารู้จักซื้อไวรัสชนิดนี้ดีในชื่อ
‘โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19’
และแม้ปัจจุบันจะเป็นปี 2021 แล้ว
แต่สถานการณ์ทั่วโลกดูเหมือนว่ายังไม่ได้คลีคลายในทางที่ดีขึ้น
แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแล้วก็ตาม
ทำไมอยู่ดีๆ
ถึงมีไวรัสเกิดขึ้นและทุบเศรษฐกิจโลกย่อยยับในพริบตา ?
คำตอบคือ เชื้อไวรัสดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เกิดจากธรรมชาติหรือการกระทำของมนุษย์
แต่การระบาดของไวรัสหรือโรคระบาดไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เคยเกิดขึ้นในสังคมโลก เช่น
กาฬโรค ไข้ทรพิษ ไข้หวัดสเปน ซาร์ส อีโบลา
ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถกลับมาอุบัติซ้ำหรือเกิดการกลายพันธุ์ไปสู่เชื้อโรคที่รุนแรงยิ่งกว่า
ซึ่งผลจากการระบาดของโควิด 19 ก็ได้เห็นแล้วว่าปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อกว่า 90
ล้านคนและยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตก็เกือบ 2 ล้านคนแล้ว และเห็นชัดว่าโลกทุกวันนี้ยังไม่พร้อมในการรับมือโรคอุบัติใหม่เท่าที่ควร
อนาคตเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ตลอดจนความผันผวนมากมาย ซึ่งในด้านเศรษฐศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่ายุค 'VUCA World' โลกแห่งความผันผวน
โดยย่อมาจาก
V - Volatility หรือความผันผวน ซึ่งส่วนใหญ่จะวัดจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหนึ่งๆ
หลังเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเทียบกับก่อนเกิด ซึ่งสถานการณ์ที่นําไปสู่ความผันผวนนี้
มักเป็นเหตุการณ์ที่ผู้บริหารมีความรู้และคาดการณ์ผลลัพธ์ได้ระดับหนึ่ง
(แต่อาจคาดการณ์ผิดก็ได้)
U - Uncertainty หรือความไม่แน่นอน
ซึ่งมักเป็นผลกระทบหลังเกิดเหตุการณ์สําคัญที่อาจเป็นสิ่งใหม่ที่ผู้บริหารไม่สามารถคาดการณ์ได้ดีนัก
แม้พอจะมีความรู้ในสถานการณ์เหล่านั้นก็ตาม
C - Complexity หรือความซับซ้อน
อันเป็นผลจากการที่ผลลัพธ์ของเหตุการณ์หนึ่งๆ ที่มีปัจจัยส่งผลกระทบจํานวนมาก
ขณะที่ปัจจัยเหล่านั้นต่างมีความสัมพันธ์กันเองเช่นกัน
A - Ambiguity หรือความคลุมเครือ
ซึ่งเกิดจากการที่ปัจจัยที่กําหนดผลลัพธ์ในเหตุการณ์หนึ่งๆ นั้นมีความคลุมเครือและยังเป็นปริศนา
คำเหล่านี้ไม่ใช่คำใหม่แต่อย่างใด
แต่เป็นคำที่ใช้นิยามในช่วงสงครามเย็นที่โลกเผชิญความไม่แน่นอนจากภัยสงคราม ขณะที่ข้อมูลในปี
2559 KPMG International ได้ทําการสํารวจมุมมองของ
CEO ทั่วโลก เกี่ยวกับความเสี่ยงที่บริษัทต้องเผชิญใน
5 อันดับแรก โดยผลการสํารวจพบว่าความเสี่ยงที่พบมากที่สุด คือ
1. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
(Cyber security risk)
2. ความเสี่ยงด้านการกํากับดูแล (Regulatory risk)
3. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging technology risk)
4. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic risk)
5. ความเสี่ยงด้านการเมืองโลก (Geopolitical risk)
ขณะที่ VUCA ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในปัจจุบันยังมีสาเหตุสําคัญ
4 ประการ คือ
1. ทิศทางเศรษฐกิจโลก
อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ การเปลี่ยนขั้วมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
การค้าที่เกิดการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น และการกีดกันทางการค้า
การเคลื่อนไหวของซัพพลายเชนโลก การลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในบางภูมิภาค
2. ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์
อันเป็นผลจากกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ผ่านมาและการเปิดเสรีต่างๆ
3. กระแสเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลก
(Disruptive Technology) อันจะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการดําเนินธุรกิจ
และการใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
4. สภาวะแวดล้อมต่างๆ
เช่น ภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้น ปัญหาโลกร้อน วิกฤต Climate
Change รวมทั้งภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่รุนแรงขึ้น
ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่คาดเดาและบริหารจัดการยาก
ดังนั้นต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่เป็นแบบแผนที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในกรณีการเกิดวิกฤต
โดยมีวิธีการ อาทิ
- การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Avoidance) คือการหลีกเลี่ยงหรือหยุดการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง
เช่นงานส่วนใดที่องค์กรไม่ถนัด อาจหลีกเลี่ยงหรือหยุดการทํางานในส่วนนั้น
และอาจใช้การ outsource
- การลดความเสี่ยง (Risk Reduction) คือการลดโอกาสที่จะเกิดหรือลดผลกระทบ
หรือลดทั้งสองส่วน โดย การจัดให้มีระบบการควบคุมต่างๆ เพื่อป้องกันหรือค้นพบความเสี่ยงอย่างเหมาะสมทันเวลา
- การโอนถ่ายความเสี่ยง (Risk Transfer) คือ การลดโอกาสที่จะเกิดหรือลดผลกระทบ
หรือลดทั้งสองส่วน โดยการหาผู้ร่วมรับผิดชอบความเสี่ยง เช่น การทําประกันต่างๆ
- การยอมรับความเสี่ยง (Risk Acceptance) คือการไม่ต้องทําสิ่งใดเพิ่มเติม
เนื่องจากมีความเห็นว่า ความเสี่ยงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อย และผลกระทบจากการเกิดก็น้อยด้วย
ทั้งนี้ แนวทางในการจัดการความเสี่ยงนั้นมีอยู่มาก
และหลากหลายขั้นตอนในปัจจุบัน หากหยิบยกมาทั้งหมดคงต้องเป็นเอกสารที่ต้องใช้เวลาอ่านยาวนานมาก
และอาจจะเกินความจำเป็นในปัจจุบัน เพราะจากบทเรียนล่าสุดจากการระบาดของโควิด 19
ทำให้ผู้ประกอบการหลายท่านคงได้มีเวลาทบทวนแล้วว่า การรับความความไม่แน่นอน
ต้องทำอย่างไร หากเกิดขึ้นอีกคงมีภูมิคุ้มกันที่มากพอ
แต่สำหรับธุรกิจที่ยังไม่มีความพร้อมหรือยังไม่มีความสามารถพอในการแบกรับหากเกิดเหตุการณ์ที่คาดคิดและส่งผลต่อธุรกิจในด้านลบ ให้เริ่มจากการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน คือสภาพคล่องต้องดี เงินสดต้องมี และแผนการสร้างรายได้ใหม่ๆ อยู่เสมอต้องมี และที่สำคัญควรระมัดระวังในการทุ่มเงินลงทุนที่มุ่งหากำไรเพียงอย่างเดียว แต่ควรมุ่งเน้นในการพัฒนาคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาบุคลากร สิ่งเหล่านี้จะเป็นเกาะกันภัยที่ดีในยามธุรกิจเผชิญวิกฤต
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<