อาหารทางการแพทย์ หรือ Medical food คืออาหารที่ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์
เพื่อช่วยผู้ป่วยให้ได้รับสารอาหารที่ถูกต้อง และเหมาะสมต่อโรค เช่น อาหารสำเร็จรูปที่ให้ทางสายอาหาร
หรืออาหารที่รับประทานเสริม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและสภาวะของโรค
อาหารเพื่อผู้ป่วยเบาหวาน และการใช้อาหารทางการแพทย์จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
อาหารทางการแพทย์ ยังเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ใช่ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ใช้เป็นโภชนาการบำบัดสำหรับผู้ป่วยเฉพาะโรค ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้เป็นปกติ หรือร่างกายอยู่ในภาวะที่ต้องการสารอาหารบางอย่างมากหรือน้อยเป็นพิเศษ โดยที่ไม่สามารถบริโภคจากอาหารทั่วไปได้ ในปัจจุบันอาหารทางการแพทย์มีหลากหลายชนิดทั้งสำหรับผู้ใหญ่และสำหรับทารก ซึ่งในแต่ละชนิดก็จะมุ่งเน้นในเรื่องของความต้องการของร่างกายอย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการใช้รับประทานหรือดื่มแทนอาหารหลัก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ใครคือผู้ใช้อาหารทางการแพทย์
ผู้ใช้อาหารทางการแพทย์ คือผู้ป่วยที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บป่วยและไม่สามารถได้รับโภชนาการที่เพียงพอจากการกินอาหารปกติ
ซึ่งอาจเป็นเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร หรือโรคไต ซึ่งมีความต้องการสารอาหารเฉพาะ
อาหารทางการแพทย์จึงสามารถเติมเต็มความต้องการนี้ได้ อาหารทางการแพทย์ไม่ได้ใช้แทนที่ยา
แต่ใช้เสริมหรือช่วยสนับสนุนการรักษาผู้ป่วย เช่นเดียวกับการออกกำลังกายซึ่งก็ไม่ใช่ยา
แต่ช่วยให้มีสุขภาพดีนอกเหนือจากการใช้ยาและพบแพทย์
สำหรับอาหารทางการแพทย์ไม่ต้องจดทะเบียนควบคุมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
การใช้ อาหารทางการแพทย์
แพทย์จะเป็นผู้บอกว่าอาหารชนิดไหนที่ใช้กับสภาพผู้ป่วยแบบไหน การใช้อาหารทาง การแพทย์ใช้กับผู้ป่วยที่ทรมานกับโรคเรื้อรัง
หรือผู้ป่วยที่อยู่ในแผนการรักษาพิเศษ
U.S.FDA สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ
ได้จัดให้อาหารทางการแพทย์ คืออาหารที่ใช้ในการจัดการทางคลินิกเพื่อจุดประสงค์พิเศษ
ซึ่งได้ตั้งเกณฑ์สำหรับอาหารทางการแพทย์ว่าต้อง
-
มีสูตรเฉพาะสำหรับการให้ทั้งทางปากหรือทางสายยาง
-
ใช้สำหรับการจัดการอาหารทางคลินิกกับโรคหรือสภาพที่ผิดปกติไป ซึ่งมีความต้องการทางโภชนาการอย่างเด่นชัด
-
ประกอบด้วยส่วนผสมที่ถูกระบุว่าปลอดภัย
- ฉลาก
การกล่าวอ้างผลิตภัณฑ์การผลิตต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของ FDA ฉลากต้องระบุ ข้อความว่า
“การใช้ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์”
-
ไม่กล่าวอ้างว่าใช้รักษาหรือป้องกันโรคได้
- ผลิตภัณฑ์ใช้เฉพาะกับกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น
ประโยชน์ของอาหารทางการแพทย์
1. ใช้เป็นอาหารหลักแทนอาหารแต่ละมื้อ
สำหรับผู้ที่กินอาหารไม่ได้ตามปกติ เช่นผู้ป่วยอัมพาต อัมพฤกษ์
รวมทั้งผู้ที่ร่างกายไม่สามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารหรือเกลือแร่บางชนิด
เช่นผู้ป่วยไตวายต้องการอาหารที่จำกัดปริมาณโซเดียมและโปแตสเซียม
ผู้ป่วยเบาหวานต้องการอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
หรือผู้ที่สูญเสียกล้ามเนื้อต้องการอาหารที่มีโปรตีนสูง หรืออาหารสำหรับเด็กที่แพ้โปรตีนจากนมวัวและนมถั่วเหลือง
2. ใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับผู้ที่กินอาหารเองได้
แต่มีปริมาณและพลังงานไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เช่นผู้สูงอายุ
ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วย เคมีบำบัด
อาจมีอาการข้างเคียงเช่นเบื่ออาหาร กินอาหารหลักได้น้อย
3. สารอาหารส่วนใหญ่ที่มีในอาหารทางการแพทย์
คือคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน จะถูกดัดแปลงให้ย่อยง่ายหรือผ่านการย่อยแล้วบางส่วน เพื่อให้ดูดซึมได้ง่ายขึ้น
ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว
4. หากมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถกินอาหารได้เอง
ได้รับอาหารหลักครบทั้ง 5 หมู่เป็นประจำ ออกกำลังสม่ำเสมอ
อาหารทางการแพทย์ก็ไม่มีความจำเป็น อาหารทางการแพทย์ส่วนใหญ่มีใยอาหารไม่เพียงพอ
ร่างกายแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน อาหารทางการแพทย์แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณแตกต่างกัน
ซึ่งไม่ควรใช้อาหารทางการแพทย์โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
แหล่งอ้างอิง : http://fic.nfi.or.th/futurefood/