ลุ้น! วัคซีนโควิดฟื้นท่องเที่ยว โลกปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอีกครั้ง
หลายคนตั้งความหวังว่าอย่างเปี่ยมล้น เมื่อชาติมหาอำนาจและไทยสามารถผลิตวัคซีนต้านโควิด 19 ออกมาใช้กับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย เมื่อทั่วโลกสามารถผลิตวัคซีนต้านโควิดได้แล้ว ทำให้มนุษย์เกิดความมั่นใจด้านความปลอดภัยสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก ช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ซบเซาสุดขีดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับตลาดโลก หากทั่วโลกฟื้นตัวเร็วย่อมแผ่อานิสงส์ต่อไทย แต่ถ้าเลวร้ายลากยาว 2-3 ปี ไทยย่อมย่ำแย่ตามไปด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
วิกฤติครั้งนี้บ่งชี้ว่า “โรคปฎิวัติโลก”
ยกเครื่องสู่วิถีชีวิตใหม่ เนื่องจากโรคโควิดทุบทำลายเศรษฐกิจโลกรุนแรงเป็นประวัติการณ์ในรอบ
150 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1870 แต่หลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้ทุกประเทศต้องหันกลับมาเริ่มต้นนับ
1 ใหม่ เพราะกว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวได้คงต้องใช้เวลานานหลายปี
โดยสิ่งที่ทั่วโลกต้องทำ คือการปรับตัวให้เร็วที่สุดเพราะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศยังทรงกับทรุด
ส่งออกยังมีปัญหาจากการล็อคดาวน์เมือง อีกทั้งยังเกิดสงครามการค้า (Trade war) ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ระลอกใหม่ ยิ่งย่อมจะส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวช้าไปอีก
เพราะทุกชาติกำลังบอบช้ำจากโรคโควิด 19 เล่นงานอย่างหนัก
อย่างไรก็ตามภายใต้วิกฤติยังมีโอกาส
เพราะผลจากสงครามการค้าทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกทั้งที่เป็นของจีน ญี่ปุ่น
หรือไต้หวัน ต่างเตรียมย้ายฐานการผลิตจากจีนไปมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
และไทย ซึ่งการย้ายฐานครั้งนี้เป็นโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยพอสมควร ในการเจรจาร่วมลงทุน
หรือร่วมซัพพลายเชน แต่ก็ต้องดูว่านักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน ย้ายฐานมาลงทุนในไทยจะมาในรูปแบบไหน
จะเป็นการลงทุนที่พึ่งพาอุตสาหกรรมไทย หรือเป็นการยกมาทั้งซัพพลายเชน
หากเป็นอย่างหลังก็คงไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการไทยเท่าไรมากนัก
ทางรอดเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก
เมื่อภาคการส่งออกไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
และผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซบเซา ทางรอดของเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้าได้อย่างตลอดรอดฝั่งนั้น
คุณศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอ็น.ซี.ซี.
เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด(นีโอ) ให้ความคิดเห็นว่า
รัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้กลับมาคึกคักให้เร็วที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนชาวไทยใช้สินค้าในประเทศ กระตุ้นการใช้จ่าย
โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อ มีรายได้สูงให้หันมาใช้จ่ายเงินมากขึ้น
เพราะการใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้จะมีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปได้
ส่วนกลุ่มที่มีเงินน้อยหรือไม่มีก็ควรใช้วิกฤติครั้งนี้ทบทวนตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างพอเพียงเพื่อพยุงตัวให้อยู่รอดไปก่อน
ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตลอดทั้งเร่งงบประมาณลงทุนต่างๆ
ให้ออกมาเร็วที่สุดเพื่อจะกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินไหลในระบบเศรษฐกิจ สามารถที่จะช่วยให้สถานการณ์โดยรวมผ่อนคลายไปได้เปราะหนึ่ง
อีกทั้งหากเป็นไปได้อยากให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ต้องเดินหน้าผลักดันนโยบายที่ดี
เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการและประชาชนออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
ส่วนรัฐบาลต้องเดินหน้าฟื้นฟูประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก เร่งรัดงบประมาณ 4
แสนล้านบาทให้ลงสู่ระบบโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่กำลังขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก
กลุ่มพรีเมียมวางแผนเที่ยวพักผ่อนช่วง
“ไฮซีซั่น”
เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ภาครัฐต้องทำงานเชิงรุกเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนออกเดินทางไปท่องเที่ยวทั่วไทย
ซึ่งปัจจุบันคนไทยเริ่มวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศช่วงที่เหลือของปี
เพื่อพักผ่อน คลายความตึงเครียดจากการทำงานหนักมาทั้งปี
หรือเที่ยวสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว คู่รัก
ประกอบกับภาครัฐและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ได้ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
รวมถึงผู้ประกอบการได้จัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ
คุณศักดิ์ชัย มองว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวปี 2563
จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเที่ยวในประเทศมากขึ้น สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 418,000 ล้านบาท โดยกลุ่มแรกที่เริ่มออกมาท่องเที่ยว คือนักท่องเที่ยวกลุ่มพรีเมียมคิดสัดส่วนเป็น
12% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
และกลุ่มดังกล่าวยังเป็นนักท่องเที่ยวหลักของการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม
และไลฟ์สไตล์ด้วย ประกอบกับกลุ่มเจเนอเรชั่นวาย (Gen Y) ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุระหว่าง
23-40 ปี หันมาชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวกิจกรรมกลางแจ้ง และผจญภัยมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นดำน้ำ เล่นกอล์ฟ เดินป่า ปีนหน้าผา ปั่นจักรยาน ฯลฯ ดังนั้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นอีกหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแม้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างปรับกลยุทธ์ตั้งรับกับวิกฤติโรคโควิด มาตั้งแต่เริ่มต้นของการแพร่ระบาดของไวรัส จนถึงขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว แต่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กหรือรายใหญ่ยังต้องปรับตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ซึ่งกูรูทางด้านเศรษฐศาสตร์ ประเมินว่า คงลากยาวไปถึงปี 2564 หรือจนกว่าจะมีวัคซีนต้านโควิด เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชากรทั่วโลกว่าไปไหนมาไหนแล้วมีความปลอดภัย เมื่อนั้นสถานการณ์ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวถึงจะกลับมาคึกคักเหมือนปกติ