ย้อนไปเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562
พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นครั้งแรกในนครอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย
ประเทศจีน โดยมีข้อสันนิษฐานว่ามีการติดไวรัสมาจากสัตว์พาหะ
และพบผู้ป่วยรายแรกที่เริ่มแสดงอาการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม
และไม่มีความเชื่อมโยงกับตลาดต้องสงสัยในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการติดเชื้อหรือมีผู้ป่วยมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน จากนั้นมีการสุ่มเก็บตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อมในตลาดไปตรวจหาเชื้อสาเหตุ พบว่ามีเชื้อไวรัสในบริเวณค้าสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงในฟาร์มมากสุด จึงคาดการณ์ว่าตลาดดังกล่าวอาจเป็นต้นกำเนิดของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือเชื้อไวรัสโควิด 19
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
พบว่าเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถเพิ่มจำนวนได้ดีในระบบทางเดินลมหายใจและปอดของมนุษย์
ไวรัสนี้จึงสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านทางฝอยละอองจากจมูก หรือปากที่ขับออกมาเมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม
โดยมีอัตราการแพร่เชื้อและความรุนแรง ตามลักษณะจำเพาะของโรค คือ
1. Basic Reproductive Rate (R0) คือ ความสามารถในการแพร่เชื้อของผู้ป่วย 1 คน ต่อคนที่มีความไวต่อการรับเชื้อ
2-4 คน
2. Clinical Onset Interval คือ มีช่วงเวลาแสดงอาการในผู้ป่วยรายต่อๆ กันไปในการแพร่ระบาด
เฉลี่ยอยู่ที่ 4 - 5 วัน
3. Case Fatality Ratio (CFR) หรืออัตราการเสียชีวิต คือ
มีสัดส่วนของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเพราะโลกนี้โดยเฉลี่ยจากทั่วโลกอยู่ที่ 7%
(สถิติประมาณการช่วงเดือนธันวาคม 2019-พฤษภาคม 2020)
ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด 19
จะเพิ่มขึ้นตามอายุ และการมีโรคประจำตัว หรือมีอายุมากยิ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น
ความสามารถของเชื้อไวรัสโควิดที่ทำให้ยากต่อการจัดการในครั้งนี้
ก็คือความสามารถในการกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ตามสภาพภูมิการและพาหะนำโรค นับจากเดือนธันวาคม-ปัจจุบัน
พบว่าไวรัสโควิด 19 ได้กลายพันธุ์ จากจุดเริ่มต้นของสายพันธุ์ดั้งเดิม ที่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น
ประเทศจีน ไปแล้วหลายสายพันธุ์
มีการอ้างถึงผลการศึกษาของ ศาสตราจารย์
หลี่ หลานจ้วง และทีมงานแห่งมหาวิทยาลัยหางโจว มณฑลเจ้อเจียงว่า
ขณะนี้เชื้อไวรัสโควิด 19 มีการกลายพันธุ์แล้วอย่างน้อย 33 สายพันธุ์
จากการสุ่มตรวจผู้ติดเชื้อในหลายพื้นที่ และศูนย์วิจัยโรคชั้นนำของประเทศบราซิล Oswaldo Cruz Foundation ยังได้ออกมาเปิดเผยว่า
นักวิจัยชาวบราซิลตรวจพบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2)
6 สายพันธุ์ (Lineage) ที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อโควิด 19
แพร่ระบาดทั่วประเทศ
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา
คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสายพันธุ์ของเเชื้อไวรัสโควิด
19 ที่พบว่ามีการแพร่รระบาดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ บนเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “Yong Poovorawan” ไว้ว่า
ไวรัสเริ่มต้นจากจีนจะมี 2 สายพันธุ์
คือ สายพันธุ์เอส S (Serine) และสายพันธุ์ L (Leucine) สายพันธุ์ L แพร่กระจายมีลูกหลานได้มากกว่าสายพันธุ์
S โดยเฉพาะเมื่อออกนอกจีนไปถึงยุโรป สายพันธุ์ L แพร่กระจายได้ดีออกลูกหลานเป็นสายพันธุ์ G (Glycine)
และสายพันธุ์ V (Valine) สายพันธุ์
G แพร่กระจายได้ง่าย ตามหลักวิวัฒนาการ
จึงกระจายไปทั่วโลกอย่างกว้างขวางมีลูกหลานของสายพันธุ์ G มาเป็นสายพันธุ์
GR (Arginine) และ GH (Histidine)
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาพบว่าสายพันธุ์ G ระบาดได้ง่ายแพร่กระจายได้เร็ว แต่ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรค
และระบบภูมิต้านทาน ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวัคซีน อัตราการครอบคลุมสายพันธุ์ G
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาเป็นเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ของสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน
จึงเป็นสายพันธุ์ G ย้อนกลับมาระบาดในประเทศไทยเพราะมีการเดินทาง
แต่สายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทยในระลอกแรกเป็นสายพันธุ์
S ดังนั้นผู้ที่อยู่ในที่กักกันของรัฐหรือที่เรียกว่า State
quarantine โดยศูนย์เชี่ยวชาญด้านไวรัสของจุฬาฯ พบว่าเป็นสายพันธุ์ G
เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะมาจากตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา สายพันธุ์นี้ไม่เกี่ยวข้องที่จะทำให้โรครุนแรงขึ้น
ไม่เกี่ยวกับระบบภูมิต้านทานเพียงแต่การกระจายง่ายๆ จึงทำให้อัตราการพบส่วนใหญ่ของทั่วโลกเป็นสายพันธุ์
G อยู่ในขณะนี้
ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์จากวิทยาลัยสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน
(LSHTM) ของสหราชอาณาจักร
เผยแพร่ผลการศึกษาล่าสุดในคลังเอกสารวิชาการออนไลน์ด้านชีววิทยา bioRxiv.org
ระบุว่า
ผลวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดหรือจีโนมของไวรัสซาร์สซีโอวีทู (SARS-CoV-2) ราว 5,350 ตัวอย่างจาก 62 ประเทศทั่วโลก ชี้ว่าไวรัสก่อโรคโควิด 19
แบ่งได้เป็นสองสายพันธุ์ใหญ่ๆ
บางส่วนมีการกลายพันธุ์ของโปรตีนที่หนามสองแบบด้วยกัน
ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าไวรัสกำลังปรับตัว
เพื่อให้มีความสามารถเข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ได้มากขึ้น
แม้สภาพการณ์ทางพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะค่อนข้างเสถียร
ไม่สู้จะเกิดการกลายพันธุ์หลายรูปแบบอย่างรวดเร็วมากนัก
รวมทั้งการกลายพันธุ์ของโปรตีนตรงส่วนหนามที่ใช้จับและเข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ก็ยังหาพบได้ยากมาก
แต่ก็ควรจับตาและเฝ้าระวังไว้
เนื่องจากการกลายพันธุ์แบบนี้อาจเป็นวิวัฒนาการที่ไวรัสกำลังปรับตัว
เพื่อให้มนุษย์ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ทีมผู้วิจัยย้ำยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการกลายพันธุ์สองแบบที่พบส่งผลต่อตัวไวรัสอย่างไร
แต่การที่พวกมันเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมาในหลายประเทศทั่วโลกโดยไม่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน
ทำให้มองได้ว่าปรากฏการณ์นี้อาจช่วยให้ไวรัสแพร่กระจายตัวออกไปได้ง่ายขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้
นี่จึงเป็นเรื่องยากและท้าทายความสามารถของมนุษยชาติเป็นอย่างมาก
ต่อการหายาต้านไวรัสที่ครอบคลุมสายพันธุ์ไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ทั้งหมด
เพราะตราบใดที่ไวรัสยังไม่หยุดกลายพันธุ์หรือมีการกลายพันธุ์เร็วกว่าการผลิตหรือค้นพบยาต้านไวรัสที่ครอบคลุมทุกการกลายพันธุ์ได้
ก็น่ากลัวว่าชีวิตปกติที่มนุษย์คาดหวังว่าจะกลับคืนมาในเร็ววันคงจะลางเลือนไปทุกที
แหล่งอ้างอิง
https://ddcportal.ddc.moph.go.th/
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=4307617185947532&set=a.192552250787400&type=3