Stroke หรือ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่เป็นภัยเงียบในอันดับต้นๆ
ของคนไทย อันตรายของโรคนี้คือแม้ผู้ป่วยหลายรายจะรอดชีวิตจากความตายมาได้
แต่ชีวิตที่เหลืออยู่จะต้องทุกข์ ทรมานกับอัมพฤกษ์ อัมพาต
ที่พิการไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือบางคนถ้าเป็นหนักอาจกลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงได้
อาการ Stroke คือ ภาวะที่ทำให้เซลล์สมองถูกทำลาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดสมองตีบ อุดตันหรือแตก ทำให้ขัดขวางการลำเลียงเลือดซึ่งนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์สมอง ส่งผลให้สมองสูญเสียการทำหน้าที่จนเกิดอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Stroke มี 2 ประเภท คือ
1. หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (ischemic stroke) ผู้ป่วย 80 % ของโรคนี้เกิดจากหลอดเลือดสมองอุดตัน เกิดได้จากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในบริเวณอื่นไหลไปตามกระแสเลือดจนไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง
หรืออาจเกิดจากมีลิ่มเลือดก่อตัวในหลอดเลือดสมอง
และขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนอุดตันหลอดเลือดสมอง
ส่วนสาเหตุของหลอดเลือดสมองตีบอาจเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด
ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง
2. หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) พบได้ประมาณ 20% ของโรคหลอดเลือดสมอง
เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบางร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง
ทำให้บริเวณที่เปราะบางนั้นโป่งพองและแตกออก
หรืออาจเกิดจากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่นจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด
ทำให้หลอดเลือดปริแตกได้ง่ายซึ่งอันตรายมาก เนื่องจากทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลงอย่างฉับพลันและทำให้เกิดเลือดออกในสมอง
ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้
ทั้งนี้เมื่อสมองขาดเลือด จะส่งผลให้เซลล์สมองถูกทำลาย ทำให้สมองส่วนนั้นๆ
สูญเสียการทำหน้าที่ สำหรับความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับว่า
สมองส่วนไหนถูกทำลาย และสมองส่วนนั้นควบคุมการทำงานใดของร่างกาย เช่น การพูด
การทรงตัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรคจึงมีความหลากหลายและแตกต่างกัน
อาจมีตั้งแต่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ ไปจนถึงอัมพฤกษ์ อัมพาต
หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ และโรคอ้วน
รวมถึงผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพไม่ว่าจะเป็นสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ออกกำลังกาย
วัยทำงานที่มีความเครียดสูง เป็นต้น
ที่น่ากังวลคือโรคหลอดเลือดสมองถือเป็นภัยเงียบที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างไรก็ตามก่อนจะไปถึงจุดนั้น จะมีสัญญาณเตือนภัยซึ่งมีอาการผิดปกติ 6 ข้อ คือ
1. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ไม่มีแรงยกแขน กำมือไม่ได้ ของหลุดจากมือ ไม่มีแรงเดิน เดินแล้วเซ ยกขาไม่ขึ้น กระดกเท้าไม่ได้ เหล่านี้คืออาการที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้อาการอาจเริ่มจากมือ แขน ขา หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน
2. อยู่ดีๆ เกิดอาการหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิทข้างเดียว นี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของอาการทางสมองที่เกิดจากการอักเสบหรือบาดเจ็บของเส้นประสาทคู่ที่ 7 (Facial Nerve) ที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าทั้ง 2 ข้าง
3. พูดลำบาก พูดไม่ชัด นึกคำไม่ออก ใช้คำพูดผิด หรือบางรายเป็นหนักอาจพูดไม่ได้เลย อาการเหล่านี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่ควรระวัง เพราะกล้ามเนื้อใบหน้ามีความเกี่ยวเนื่องกับการทำงานของสมองเช่นกัน
4. ผู้ที่เริ่มมีอาการสโตรกจะเห็นภาพซ้อน มองเห็นซีกเดียวของลานสายตา จนไม่สามารถบังคับตัวเองได้ เดินเซหรือชน เนื่องจากดวงตาของเรามีเส้นประสาทที่เชื่อมการทำงานกับสมอง ยิ่งถ้ามีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย นี่คือสัญญาณสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคสโตรกอย่างชัดเจน ดังนั้นควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
5. เกิดอาการปวดหัวแบบรุนแรงเฉียบพลัน แบบไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงมีการอาเจียนร่วมด้วย ซึ่งอาการปวดหัวอาจเกิดจากการมีเลือดออกในเนื้อสมอง แล้วเลือดนั้นไปกดเบียดเนื้อสมอง ทำให้สมองทำงานผิดปกติ มีความดันในโพรงกะโหลกเพิ่มขึ้น จนทำให้รู้สึกปวดหัว และคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งใครที่มีอาการแบบนี้เกิดขึ้นจะมีสิทธิ์เป็นโรคหลอดเลือดในสมองสูง
6. เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน นานเกินกว่า 5 นาที โดยไม่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนท่าทาง มักเป็นร่วมกับการเดินเซ
หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดเพียงอาการเดียวหรือหลายอาการร่วมกัน
ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนภายใน 3 ชั่วโมง เพราะหากผู้ป่วยมาถึงมือแพทย์ได้เร็วที่สุดก็สามารถรักษาได้ทันการณ์
สมองจะถูกทำลายน้อยที่สุด โอกาสที่จะเสียชีวิตหรือเสี่ยงต่อเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
ก็จะน้อยลงไปด้วย