‘ออฟไลน์ + ออนไลน์’ เทรนด์ใหม่..ดันยอดขายค้าปลีกสิงคโปร์โต
อุตสาหกรรมค้าปลีกสิงคโปร์มีสัดส่วน 1.4% ของ GDP และ 3% ของการจ้างงานในสิงคโปร์ครอบคลุมธุรกิจหลากหลายประเภท เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต
ร้านสะดวกซื้อ แฟชั่น รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ มีจำนวน 27,637 ร้าน และมีการซื้อขายสินค้า-บริการหลายช่องทาง เช่น แบบร้านค้าที่มีหน้าร้านแบบ Kiosks ผ่านไปรษณีย์ และอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ข้อมูลจากดัชนีการค้าปลีกของสิงคโปร์โดยหน่วยงานภาครัฐ Singapore Department of Statistics พบว่าในเดือนมกราคม 2564 ยอดค้าปลีกโดยรวมอยู่ที่ 3.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (8.751 หมื่นล้านบาท) ในจำนวนนี้ 10.3% มาจากการค้าปลีกออนไลน์ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2563 ยอดค้าปลีกรวมอยู่ที่ 4 .1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (9.442 หมื่นล้านบาท) โดย 5.8% มาจากการค้าปลีกออนไลน์ จะเห็นได้ว่ายอดการค้าปลีกโดยรวมของสิงคโปร์นั้นลดลงแต่สัดส่วนการค้าปลีกออนไลน์กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของการค้าปลีกในสิงคโปร์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกสิงคโปร์
ในรอบสิบปีที่ผ่านมาร้านค้าปลีกสิงคโปร์ทยอยปิดตัวลงต่อเนื่อง
สาเหตุหลักมาจากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นและการเข้ามาของ e-Commerce รวมถึงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด
19 เมื่อปีที่แล้ว ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ออกมาตรการ Lockdown
(ยกเว้นกิจกรรมที่จำเป็น)
ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกเป็นอย่างมาก ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวกันขนานใหญ่
หันไปให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจออนไลน์มากขึ้น
เพื่อให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด
เทรนด์ Omni-Channel Retailing ในสิงคโปร์
การลดลงของจำนวนร้านค้าปลีกในสิงคโปร์ไม่ได้หมายความว่าชาวสิงคโปร์ซื้อสินค้าน้อยลง
แต่ตรงกันข้ามการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นแต่ผ่านทางออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ โดยในช่วงต้นปี
2557 จากการสำรวจของ
Visa ได้จัดอันดับให้ชาวสิงคโปร์เป็นผู้ซื้อสินค้าออนไลน์อันดับต้นๆ ในอาเซียน
ขณะที่รายงานอุตสาหกรรมโดย Google และ Temasek Holdings คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรม e-Commerce สิงคโปร์จะเติบโตเป็น
7.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (1.73 แสนล้านบาท) ภายในปี 2569
แนวโน้มสำคัญสองประการที่ช่วยผลักดันการเติบโตของ e-Commerce ในสิงคโปร์คือ แนวโน้มการค้าปลีกแบบ Omni-Channel Retailing คือการค้าปลีกแบบบูรณาการโดยรวมร้านค้าปลีกแบบมีหน้าร้านกับออนไลน์
แล้วอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวเชื่อมต่อ เพื่อตอบสนองความต้องการและอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคให้สามารถเข้าถึงสินค้า-บริการได้ทุกที่ทุกเวลา
แนวโน้มการค้าปลีกรูปแบบที่สอง Experiential Retail คือการปรับสถานที่ร้านค้าปลีกให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในด้านอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการช้อปปิ้ง เช่น การรวมสถานที่ Shopping ออฟฟิศ และพื้นที่สำหรับพักผ่อนในที่เดียวกัน เป็นต้น เช่น บริษัท OUE ผู้บริหารห้างสรรพสินค้า Mandarin Gallery ที่ได้เปิดตัวพื้นที่การค้าปลีกแนว ‘Health-Style’ เป็นการรวมเอาพื้นที่สำหรับทำงานและพักผ่อนมาไว้ที่เดียวกัน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างพื้นที่สำหรับร้านค้าปลีก และพื้นที่ส่วนรวมที่ผู้บริโภคสามารถใช้ทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ด้วย
การสนับสนุนจากภาครัฐ
รัฐบาลสิงคโปร์เปิดตัวโครงการ Start Digital เมื่อปี 2562
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม The SMEs Go
Digital ซึ่งมีการเปิดตัวเมื่อปี 2560 โดยหน่วยงาน Infocomm Media Development Authority (IMDA) ทั้งนี้
โครงการ Start Digital มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและช่วยเหลือให้ SMEs สิงคโปร์ ปรับตัวมาใช้ดิจิทัลในการทำธุรกิจผ่านโครงการริเริ่ม 3
โครงการดังนี้
1. โครงการ Start Digital
มีวัตถุประสงค์เพื่อการช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs รายใหม่ ในด้านโซลูชั่นดิจิทัล เช่น การทำบัญชี ทรัพยากรมนุษย์
ธุรกรรมดิจิทัล การตลาดดิจิทัล และ Cybersecurity เป็นต้น
2. โครงการมาตรฐานการออกใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสะดวกต่อการทำธุรกิจในตลาดต่างประเทศ
และลดต้นทุนของผู้ประกอบการในด้านการทำธุรกรรมซึ่งมีราคาสูง
3. โครงการรับรองความน่าเชื่อถือ
เป็นการรับรองความน่าเชื่อถือของบริษัทในด้านการบริหารจัดการข้อมูลที่ดี
และเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เนื่องจากระบบจะมีการเฝ้าระวังและตรวจสอบการละเมิดข้อมูลในระบบตลอดเวลา
การปรับตัวแบบผสมผสานการค้าปลีกออฟไลน์และออนไลน์ของผู้ประกอบการสิงคโปร์ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สร้างความท้าทายต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกในสิงคโปร์เป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่เช่นกัน เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกที่ทุกเวลาทั่วโลก สร้างโอกาสในการเจาะตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี ขณะที่การค้าปลีกแบบออฟไลน์ (มีหน้าร้าน) ยังคงเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาพลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงสร้างความผูกพันด้านจิตใจ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงนิยมสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ก่อนการตัดสินใจซื้อ
สำหรับไทย ตลาด e-Commerce มีแนวโน้มเติบโตเช่นกับสิงคโปร์
โดยปี 2562 ตลาดค้าปลีกออนไลน์ในไทยเติบโตขึ้น 163,300 ล้านบาท และเพิ่มเป็น
220,000 ล้านบาทในปี 2563 รวมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 35% แต่ผู้ประกอบการ SME ไทยกลุ่มค้าปลีกในปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่ยังคุ้นชินและยึดติดอยู่กับรูปแบบการจำหน่ายสินค้าแบบออฟไลน์โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูงที่จะสูญเสียโอกาสทางการตลาด
ดังนั้น SME ควรการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ สนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนา Cloud, Software สำเร็จรูป เพื่อให้ SME ไทย เข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้นอันจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ณ กรุงสิงคโปร์