ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ส่งผลถึงการใช้ชีวิตประจำวันมากเพียงใด ไม่เพียงเท่านั้นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีนี้ยังส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้า การบริการ การบริโภค และการผลิต ก่อให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ ดังนั้นหากไม่มีการตั้งรับก็อาจทำให้ธุรกิจแบบดั้งเดิมปรับตัวไม่ทันได้เช่นเดียวกัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในเวทีการประชุม “ASEAN
Businesses and Investment Summit 2019” ซึ่งจัดโดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่
35 ที่ผ่านมา ได้หยิบยกประเด็นการพัฒนาประชาคมอาเซียนสู่ยุค 4.0
หรือยุคดิจิทัลขึ้นมาหารือกันอย่างจริงจัง
เศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนถือเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2018 มีมูลค่าสูงถึง 72,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากปี 2017
ที่มีมูลค่าราว 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของชนชั้นกลาง
การเพิ่มขึ้นของประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ต รวมทั้งการปรับตัวของ SMEs
ในภูมิภาคที่หันมาใช้ดิจิทัลในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับประเทศอื่นๆเช่น
สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีน มีสัดส่วนถึงร้อยละ 35 27 และ 16 ของ GDP
สะท้อนว่าเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ผลการศึกษาจาก Google , Temasek Holding และ Ben & Co ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลก พบว่าอีก 6 ปีข้างหน้า หรือในปี 2025 เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนจะเติบโตขึ้นอีก 3 เท่าตัว มีมูลค่า 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 1 ในภูมิภาคที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก เนื่องจากประชากรวัยหนุ่มสาวนิยมใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนมากขึ้น
ทั้งนี้อาเซียนตระหนักถึงการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจจากเทคโนโลยีดิจิทัลต่อประเทศสมาชิก
จึงมุ่งไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน โดยร่วมมือกันจัดทำข้อตกลงด้าน E-Commerce
อำนวยความสะดวกการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน
การจัดทำกรอบบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน อำนวยความสะดวกทางการค้า การคุ้มครองข้อมูล
การพัฒนาระบบชำระเงิน การพัฒนาทักษะของบุคลากรและการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาธุรกิจ และการจัดทำแนวทางพัฒนาแรงงานมีทักษะและผู้ประกอบวิชาชีพเพื่อการรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่
4 (4IR)
รัฐบาลแทบทุกประเทศในอาเซียนต่างก็มีนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมการพัฒนาสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต
ไม่เว้นแม้แต่ในกลุ่ม CLMV
อาทิ “เมียนมา” ได้กำหนดแผน Myanmar Digital Economy Roadmap
ซึ่งให้ความสาคัญใน 9 สาขา ได้แก่
1. การศึกษา
2. สาธารณสุข
3. การเกษตร
4. ประมงและปศุสัตว์
5. การท่องเที่ยวอุตสาหกรรมการผลิตและ SMEs
6. บริการทางการเงิน
7. เทคโนโลยีและการส่งเสริมสตาร์ทอัพ
8. การค้าออนไลน์ และ
9. ขนส่งและโลจิสติกส์
ทั้งยังมีการออกกฎระเบียบต่าง ๆ
เพื่อสนับสนุน อาทิ การสร้างสมดุลทางด้านกฎหมาย การคุ้มครองผู้บริโภค
และการรักษาความปลอดภัยบนระบบไซเบอร์(Cyber Security) การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล
และมีการจัดตั้งคณะกรรมการ Digital
Economy Development Committee (DEDC) เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มรูปแบบ
นำระบบดิจิตอลมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ (Digital government) ภาคธุรกิจการค้า (Digital trade and innovation) เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างครอบคลุมทั่วถึงทุกสาขา
ขณะที่เวียดนามก็เช่นเดียวกัน
เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเฟื่องฟู และเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียน
รองจากอินโดนีเซียมีมูลค่าถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราเติบโต ร้อยละ 38
นับตั้งแต่ปี 2558 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 43,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในปี 2568 มูลค่าการซื้อขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตในเวียดนามคิดเป็นร้อยละ 5 ของ GDP
และมีเป้าหมายผลักดันให้มีสัดส่วนร้อยละ 20 ของ
GDP ในประเทศ ภายในปี 2568 โดยมีธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
ของตลาดในประเทศ ได้แก่ Sendo และ Tiki ซึ่งกำลังแข่งขันกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาคอย่าง Lazada และ Shopee
ขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศอันดับ 1 ในการส่งเสริมธุรกิจสร้างสรรค์จนสามารถสร้างการเติบโตได้เกือบร้อยละ 90 เป็นผลมาจากการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีมูลค่าการทำธุรกรรมมากถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้ 5 ล้านเหรียญสหรัฐมาจากร้านค้าออนไลน์ เนื่องจากรัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจภายในประเทศและตลาดในประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยก็ไม่ต่างไปจากประเทศอื่นในอาเซียนที่ให้ความสำคัญกับการวางนโยบาย
“เศรษฐกิจดิจิทัล” โดยดำเนินมาตรการหลายด้านผ่านกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี)
และยังมีมาตรการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผ่าน “บริการรัฐบาลดิจิทัล” ตลอดจนมุ่งผลักดัน พ.ร.บ.
การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 จนสำเร็จถือเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการข้อมูลระหว่างกัน
เป็นจุดเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อม
วางแผนการดำเนินธุรกิจ
เพื่อใช้ประโยชน์จากตลาดดิจิทัลอาเซียนที่กำลังเติบโตให้ได้มากที่สุด